คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ทั้งฉบับที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและปรับปรุงเป็นฉบับใหม่ เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมทั้งรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. …. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอ
เป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และสอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่กำหนดบทบาทให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีหน้าที่และอำนาจในการดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและการคุ้มครองเด็กในชุมชนรวมทั้งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติขึ้นใหม่ โดย
กำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กให้มีความชัดเจน เช่น การมีชีวิตอยู่รอด การได้รับความคุ้มครองจากการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ (เดิมมิได้กำหนดไว้)
กำหนดหน้าที่ของผู้ปกครองและหน่วยงานของรัฐ โดยผู้ปกครองมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนและพัฒนาเด็ก ปกป้องคุ้มครองเด็กมิให้ตกในภาวะอันเกิดอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ รวมทั้งต้องให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี (เพิ่มเติมจากเดิมเพื่อกำหนดให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น) และหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่สนับสนุนหน้าที่ของผู้ปกครอง (เดิมมิได้กำหนดไว้)
กำหนดให้มีคณะกรรมการแบ่งเป็น 3 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติทำหน้าที่ในการเสนอนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองเด็ก (ปรับปรุงหน้าที่ให้เป็นเชิงบริหารมากยิ่งขึ้น) และคณะกรรมการคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานครและคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐในเขตจังหวัด (ปรับปรุงหน้าที่ในการกำกับดูแลการคุ้มครองเด็กให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น) นอกจากนี้ กำหนดให้มีสมัชชา คุ้มครองเด็กในกรุงเทพมหานครและจังหวัด ทำหน้าที่เสนอความเห็นเกี่ยวกับกลไกและกระบวนการคุ้มครองเด็กเพื่อประกอบการกำหนดนโยบายเสนอผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป (เดิมมิได้กำหนดไว้) และกำหนดหน้าที่และอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการคุ้มครองเด็กเช่น จัดทำแผนและงบประมาณในการคุ้มครองเด็ก จัดให้มีระบบฐานข้อมูลของเด็ก (เดิมมิได้กำหนดไว้) กำหนดให้มีพนักงานคุ้มครองเด็ก โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน รัฐมนตรีและองค์การบริหารส่วนจังหวัดแต่งตั้งเพื่อทำหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและครอบครัว (เดิมกำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่) เพื่อให้มีแนวปฏิบัติในการทำงาน กำหนดกระบวนการคุ้มครองเด็ก โดยให้ผู้พบเห็นเด็กอยู่ในภาวะเสี่ยงต้องให้การช่วยเหลือเบื้องต้นและแจ้งต่อพนักงานคุ้มครองเด็ก และให้พนักงานคุ้มครองเด็กสืบเสาะและพินิจแล้วหาวิธีการคุ้มครองเด็กที่เหมาะสม รวมทั้งส่งตัวเด็กไปอาศัยอยู่กับครอบครัวทดแทน
กำหนดอำนาจของศาลในการคุ้มครองเด็ก โดยให้การพิจารณาคดีของเด็กและคู่กรณีไม่ต้องมีการเผชิญหน้ากัน และสอบถามทุกคนที่เกี่ยวข้องเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง รวมทั้งออกคำสั่งหรือกำหนดมาตรการเพื่อประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็ก เพื่อให้ศาลมีแนวปฏิบัติในกระบวนการพิจารณาคดีเด็กและเยาวชนชัดเจน (กำหนดเพิ่มเติม) กำหนดมาตรการคุ้มครองเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิดต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพ โดยให้จัดทำแผนบำบัดสุขภาพ พัฒนาการและพฤติกรรมของเด็ก และมาตรการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ต้องได้รับน้ำนมจากหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือนและได้รับความคุ้มครองเมื่อมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองมากขึ้น (กำหนดเพิ่มเติม) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้งสถานรองรับเด็ก โดยอธิบดีมีอำนาจให้การรับรองสถานรองรับเด็กได้ทั่วราชอาณาจักร และผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจให้การรับรองการจัดตั้งภายในเขตจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (เดิมการจัดตั้งสถานแรกรับทั่วประเทศดังกล่าว
เป็นอำนาจของปลัดกระทรวง)
กำหนดหน้าที่ของโรงเรียนและสถานศึกษา โดยต้องจัดให้มีระบบงานในการจำแนกคัดกรองเด็ก นักเรียนและนักศึกษา รวมทั้งให้ความร่วมมือต่อพนักงานคุ้มครองเด็กในการคุ้มครองเด็ก (กำหนดเพิ่มเติม) กำหนดหน้าที่ของนักเรียนและนักศึกษาต้องประพฤติตามระเบียบของโรงเรียนและตามที่กฎหมายกำหนดไว้ (คงเดิม)
นอกจากนี้กำหนดให้มี “กองทุนส่งเสริมการคุ้มครองเด็ก” ในกรมกิจการเด็กและเยาวชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในการส่งเสริมการคุ้มครองเด็ก รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในกระบวนการคุ้มครองเด็ก ซึ่งเงินและทรัพย์สิน เช่น เงินที่โอนมาจากกองทุนคุ้มครองเด็ก เงินที่รัฐบาลไม่ต้องส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้พิจารณาเห็นชอบในเรื่องไม่นำเงินส่งคลังด้วยแล้ว ตามนัยมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (เดิมกำหนดให้มีกองทุนคุ้มครองเด็กในสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อใช้เป็นทุนใช้จ่ายในการสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กและครอบครัวของเด็ก)
2. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ และได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เห็นชอบด้วย รวมทั้งได้จัดทำแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม 15 ฉบับ
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. …. นี้ได้กำหนดมาตรการคุ้มครองเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดว่าต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพ และมาตรการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ว่าต้องได้รับน้ำนมจากหญิงตั้งครรภ์แทนเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือน และได้รับความคุ้มครองเมื่อเกิดความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงได้กำหนดการกระทำซึ่งถือว่าเป็นความผิด เช่น การจัดให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ชกมวยหากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งจากนี้เมื่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์จะชกมวยไม่ได้ การขายหรือมอบเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ให้กับผู้อื่นเพื่อแลกกับเงินหรือประโยชน์ตอบแทนใดๆ ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตามถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.นี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังกำหนดห้ามไม่ให้สร้างภาพโฆษณาหรือเผยแพร่ภาพจำลองเหตุการณ์ที่เด็กถูกกระทำด้วยความรุนแรงทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศทุกรูปแบบ