นายกฯ ติดตามการทำงานคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ของกองกำลังสุรนารี ที่ จ.สุรินทร์

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การคลี่คลายปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการสนับสนุนและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ณ โรงพยาบาลกาบเชิง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และผู้บริหารส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วมประชุม

ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ พบว่าขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายขึ้นมาก รัฐบาลได้สั่งการให้สนับสนุนและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนโดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แม่ทัพภาคที่ 2  และผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยนายกรัฐมนตรี ขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนทุกจังหวัดและแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ได้รายงานความคืบหน้า และสถานการณ์ในพื้นที่ที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการรับฟังข้อมูลเรื่องสถานที่หลบภัย ขอให้กระทรวงมหาดไทยเร่งสำรวจให้มีความพร้อม รวมถึงต้องให้ความรู้แก่เด็กนักเรียนถึงวิธีการเอาตัวรอดเพราะอาจจะมีภัยอื่นๆ เช่น ภัยธรรมชาติ หรืออุบัติภัยต่างๆ ได้

ขณะที่พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้รายงานการเตรียมความพร้อมในทุกมิติทั้งการดูแลประชาชนในพื้นที่และด้านความมั่นคง ซึ่งจากการหารือร่วมกันอย่างเป็นทางการทั้งไทยและกัมพูชาเห็นร่วมกันเรื่องสันติภาพ โดยเฉพาะประเทศไทยไม่ต้องการความรุนแรงโดยจะคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนและความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานหน้างานเป็นหลัก

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า กระทรวงมหาดไทยเทียบ “เป็นบ้าน ทหารเป็นรั้ว” ขอให้ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ และขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าทีมในแต่ละจังหวัดทำงานร่วมกันประสานกันว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างตามแนวชายแดน รวมถึงสำรวจความปลอดภัยในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นสถานที่หลบภัย รวมถึงปัจจัย 4 มีอย่างพอเพียงหรือไม่ ขอให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะสื่อสารกับประชาชนให้รับทราบข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด

นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลจะพยายามทำอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด ขอขอบคุณทุกคน ทุกหน่วยงานที่ร่วมกันรักษาความสงบสุข รัฐบาลพร้อมให้การดูแลประชาชนและเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่ หากมีอะไรที่มีความจำเป็นต้องการเร่งด่วน ขอให้ประสานมา รัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ และขอให้ผู้นำส่วนท้องถิ่นช่วยสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้นว่ารัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง และเจ้าหน้าที่ได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด โดยเฉพาะเรื่องของการปล่อยเฟคนิวส์ ต้องป้องกันการเข้าใจผิด ขอให้ทุกคนทำงานร่วมกันเป็นทีมประเทศไทย รัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกหน่วย ยืนยันจุดยืนคือต้องการรักษาสันติภาพ ส่วนเรื่องรายละเอียดในการหารือข้อขัดแย้งต่างๆ ต้องแก้ไขไปทีละเรื่อง

หลังจากประชุมกับทุกส่วนราชการแล้ว นายกรัฐมนตรี ได้มอบให้แม่ทัพภาคที่ 2 หารือกับกัมพูชาเรื่องเวลาเปิด-ปิดด่านที่ไม่ตรงกัน เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าขายผ่านชายแดน จากนั้น ได้ออกเดินทางต่อไปที่ด่านพรมแดนศุลกากร จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประเทศกัมพูชา เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานหน้าด่าน พร้อมพูดคุยถึงสถานการณ์การค้าชายแดนและภาพรวมทั่วไป 

โดยนายกรัฐมนตรี ได้ทักทายประชาชนที่มาให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเองและได้ถ่ายภาพกับประชาชนในพื้นที่ พร้อมกล่าวยืนยันว่า รัฐบาล ฝ่ายปกครอง ทั้งทหารและหน่วยงานด้านความมั่นคงจะคอยดูแลรักษาความปลอดภัยประชาชนทุกจังหวัดชายแดนตลอดเวลาอย่างเต็มที่

จากนั้น ได้เดินทางต่อไปยังหมู่บ้านสกล หมู่ 8 ตำบลตะเคียน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อตรวจเยี่ยมสถานที่หลบภัยที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากส่วนราชการ ทั้งจากกองทัพและกระทรวงมหาดไทย ทั้งทรายและอุปกรณ์ต่างๆ โดยนายกรัฐมนตรี ได้สอบถามความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และความปลอดภัยของบังเกอร์และสถานที่หลบภัยที่ชาวบ้านสร้างขึ้น นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแล สนับสนุนประชาชนอย่างเต็มที่ ทั้งด้านกำลังและวัสดุอุปกรณ์โดยขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก ซึ่งชาวหมู่บ้านสกล ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่มาดูแลความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดน

สำหรับจังหวัดสุรินทร์ มีพื้นที่ชายแดนยาว 125 กิโลเมตร ครอบคลุม 4 อำเภอ ได้แก่ บัวเชด สังขะ กาบเชิง และพนมดงรัก มีจุดผ่านแดนถาวร 1 แห่งคือ ช่องจอมและช่องทางธรรมชาติ 54 ช่อง โดยพื้นที่เสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ ได้แก่ บริเวณปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาเมือนโต๊ดจากการประเมิน หากเกิดเหตุสู้รบ อาจส่งผลกระทบต่อ 287 หมู่บ้าน ใน 22 ตำบล 4 อำเภอ มีประชาชนกว่า 144,000 คนอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ปัจจุบันมีหลุมหลบภัย 224 แห่ง แต่บางส่วนชำรุดและไม่เพียงพอ รัฐบาลจึงเร่งซ่อมแซมและจัดสร้างเพิ่มเติม พร้อมขอความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชนและประชาชนร่วมบริจาควัสดุจำเป็น เช่น ท่อกลม กระสอบทราย และปูน โดยสามารถนำส่งได้ที่ที่ว่าการอำเภอทั้ง 4 แห่ง หรือในหมู่บ้านเป้าหมาย

ด้านแผนอพยพ จังหวัดสุรินทร์ได้เตรียมศูนย์พักพิงชั่วคราว 65 แห่ง ในโรงเรียน วัด เทศบาล และ อบต. สำหรับรองรับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งมีจำนวนรวม 746 ราย ใน 4 อำเภอ พร้อมเตรียมย้ายโรงพยาบาลพนมดงรักและโรงพยาบาลกาบเชิง เป็นโรงพยาบาลสนามหากเกิดเหตุฉุกเฉิน

ในส่วนของงบประมาณ สามารถใช้งบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และเงินทดรองราชการช่วยเหลือได้ทันที แบ่งเป็นงบเชิงป้องกัน 10 ล้านบาท และกรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน 20 ล้านบาท สำหรับใช้ในด้านอาหาร วัสดุอุปกรณ์ ค่าเจ้าหน้าที่ และค่าดำเนินการอื่น หากไม่เพียงพอจะของบสนับสนุนเพิ่มเติมจากส่วนกลางต่อไป

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC: Joint Boundary Commission) ฝ่ายไทย โดยระบุว่า ได้มอบนโยบายแก่ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธาน JBC และอดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ก่อนมีการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ โดยได้ย้ำว่าการเจรจาต้องยึดมั่นในอธิปไตยของประเทศไทยและจะไม่ยอมให้ไทยสูญเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้ว พร้อมขอบคุณฝ่ายทหารที่สามารถลดระดับการเผชิญหน้าบริเวณชายแดนลงได้ และเสนอให้ใช้พื้นที่พิพาทเป็น “เขตร่วมอยู่ร่วมกันโดยสันติ” เพื่อลดความตึงเครียดอย่างยั่งยืน

สำหรับกลไกในการเจรจา 2 ฝ่ายทั้ง 3 กลไก ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและอยากให้ทั้งหมดนี้ต่อยอดขยายผลจากที่ทางฝ่ายทหารได้ทำไปแล้ว และอยากให้เป็นพื้นที่ที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศได้ย้ำมาตลอด

การประชุม JBC ในวันที่ 14 มิ.ย. 68 นี้ คาดหวังให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเรื่องของเส้นเขตแดนเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้มีความเข้าใจที่ชัดเจนร่วมกัน และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในเรื่องเขตแดน และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน ทั้งนี้ขอให้ประธาน JBC ยึดถือไว้ว่าการเจรจาต้องยืนยันในอธิปไตยของประเทศไทย และจะไม่ยอมให้ประเทศไทยเสียดินแดน แม้แต่นิดเดียวโดยเด็ดขาด พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยเห็นว่ากลไกการเจรจา หรือกลไกการแก้ไขปัญหาระหว่างกันภายใต้การปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศนั้นมีกลไกการแก้ไขปัญหาในหลายวิธี แต่วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือกลไกทวิภาคี ซึ่งมีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุด ดังนั้นไทยจึงไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน

ขณะเดียวกันกลไกทางการทูตที่กระทรวงการต่างประเทศใช้ก็ส่งเสริมหรือช่วยเหลือให้การเจรจาของฝ่ายทหารบรรลุผลได้เป็นอย่างดี ดังนั้นที่ผ่านมาได้ใช้กลไกที่ถูกต้องคือการหารือทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาจนกระทั่งสามารถลดความตึงเครียดในบริเวณพื้นที่ที่มีการกระทบกระทั่งกันจนเป็นการลดการเผชิญหน้ากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริเวณที่มีพื้นที่ไม่ชัดเจนเป็นพื้นที่ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและไม่ก่อให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งกันอีก

ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากองทัพไทยมีศักยภาพที่จะบริหารสถานการณ์ในพื้นที่ที่มีการกระทบกระทั่งกันได้อย่างดีที่สุด ขณะเดียวกันการใช้นโยบายการต่างประเทศหรือนโยบายการทูตจะมุ่งเน้นไปในเรื่องของการส่งเสริมให้มีมาตรการทั้ง 2 ด้าน ทั้งด้านการปฏิบัติทางด้านการทหาร และมาตรการทางการทูตสอดรับกัน สามารถที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศและทำให้การใช้กลไกในการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี

นายมาริษ กล่าวถึงท่าทีของกัมพูชาที่อาจส่งกรณีข้อพิพาท 4 จุดไปยังศาลโลกว่า ไทยยังคงยึดแนวทางการเจรจาโดยตรงระหว่างสองประเทศ ซึ่งไทยได้ชี้แจงจุดยืนและข้อเท็จจริงให้ประเทศต่างๆ รวมถึงชาติสมาชิกอาเซียนรับทราบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แม้กัมพูชาจะเดินหน้าพูดคุยกับประเทศที่ 3 แล้ว แต่ประเทศไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีปฏิสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะในการชี้แจงจุดยืนและอธิบายให้เห็นถึงข้อเท็จจริงไม่ว่าจะเป็นประเทศสมาชิกอาเซียน มิตรประเทศต่างๆ รับรู้การดำเนินงานของไทยอย่างชัดเจน

สำหรับผลการประชุม JBC ระหว่างไทย-กัมพูชา ในวันเสาร์ที่ 14 มิ.ย. 68 จะมอบหมายให้โฆษกประจำกระทรวงการต่างประเทศหรือโฆษกของกรรมาธิการ JBC เป็นผู้แถลงผล วิเคราะห์ข้อมูล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง