นายกฯ มอบนโยบาย “ทูตเชิงรุกยุคใหม่” ร่วมบูรณาการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายในพิธีปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 14 มิถุนายน 2568 ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน : จากนโยบายสู่การปฏิบัติ” โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นางนลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย และนางลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมทั้งเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ ผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศ หัวหน้าสำนักงาน และผู้แทนหน่วยงานทีมประเทศไทยในต่างประเทศ เข้าร่วม

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่ได้พบเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ รวมทั้งสมาชิก “ทีมประเทศไทย” ในต่างประเทศจากทั่วโลกทั้งที่เข้าร่วมทางออนไลน์ การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ภายใต้ความท้าทายหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี จึงต้องปรับให้เป็นการทูตเชิงรุกมากยิ่งขึ้น หากมีโอกาสเข้ามาทีมไทยแลนด์จึงต้องช่วยกันไขว่คว้าโอกาสกลับเข้ามาให้กับประเทศ ทูตแต่ละประเทศมีส่วนสำคัญ อยากให้ดูว่าในประเทศต่างๆ มีอะไรที่สามารถประยุกต์ใช้ในประเทศไทยได้บ้าง ทั้งการลงทุน เทคโนโลยี พร้อมชี้แจงและให้ข้อมูลที่ถูกต้องในประเด็นสำคัญระหว่างประเทศได้อย่างทันท่วงที เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พร้อมให้ทิศทางขับเคลื่อนการต่างประเทศไทย 3 ทิศทาง ได้แก่

1) การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ (Action Plan) การทูตเชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ไปอยู่ในจุดที่จะได้ประโยชน์สูงสุด ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางอำนาจและระเบียบโลก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาด และสร้างความมั่นใจโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว เช่น การสร้างความรู้สึกปลอดภัยในการมาท่องเที่ยวในประเทศไทย หรือเร่งชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับข่าวปลอม (Fake News) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญจะต้องส่งข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนเข้าไปในโซเชียลมีเดีย ดังนั้น เอกอัครราชทูตจึงต้องมีทีมโซเชียลมีเดียที่เข้มแข็ง ซึ่งจะช่วยรัฐบาลได้เป็นอย่างมาก

ในระยะสั้น ส่งเสริมเศรษฐกิจเครื่องยนต์เดิม การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร การท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลัก ผลไม้ไทยที่ดังไปทั่วโลกจีนยังเป็นตลาดใหญ่ หากเกิดปัญหาเอกอัครราชทูตไทยจะเป็นคนแรกที่เข้าไปช่วยคุย สำหรับด้านการแพทย์ หากมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยจะเสริมสร้างจุดแข็งให้กับไทยได้มาก โดยเฉพาะการขยายตลาดในหมู่นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ รวมถึงกลุ่มผู้เกษียณอายุและกลุ่ม digital nomads (สามารถทำงานที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เทคโนโลยีการสื่อสาร) ที่เข้ามาอยู่แบบ long-stay เนื่องจากไทยต้องการเป็น Medical Hub ของภูมิภาค

ในระยะยาว ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย ผ่านการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมเสริมสร้างความเชื่อมโยง โดยเฉพาะผ่านโครงการใหญ่ของรัฐบาล ทั้งโครงการแลนด์บริดจ์ โครงการสร้างสนามบินแห่งใหม่ทั้งในภาคเหนือและภาคใต้ การยกระดับสนามบินทุกแห่งให้ทันสมัย รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ ตลอดจนเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTAs) ทั้งที่คั่งค้างอยู่และที่ไทยควรเปิดการเจรจาอย่างต่อเนื่อง และการ up-skill และ re-skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งรัฐบาลดำเนินการและจัดงบประมาณในโครงการ ODOS (One District One Scholarship) สนับสนุนทุนการศึกษาเพื่อเพิ่มเติมการเรียนรู้และทักษะควบคู่ไปด้วยกัน จะทำให้ในอนาคตประเทศไทยมีความพร้อมในการแข่งขันมากขึ้น การส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน และการท่องเที่ยว รวมถึงการเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เพื่อกำหนดกฎระเบียบทางเศรษฐกิจใหม่ของโลก

2) การเป็น “ผู้ส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน” ท่ามกลางบริบทโลกที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและกฎระเบียบครั้งใหญ่ โดยเห็นว่าไทยควรขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจผ่านการใช้มุมมองด้านการต่างประเทศ เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างยั่งยืน โดยเน้นที่ผลประโยชน์ในทุกมิติของประเทศเป็นสำคัญ เพื่อเข้าใจจุดแข็งและความท้าทาย พร้อมจับสัญญาณโลกอย่างถูกต้องและรู้เท่าทัน ซึ่งจะทำให้ไทยเลือกเดินกลยุทธ์ได้อย่างชาญฉลาด และได้รับผลประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขณะเดียวกัน ไทยควรดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านโดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก ผ่านกลไกทวิภาคีและภูมิภาค และการพูดคุยด้วยมิตรไมตรีในทุกระดับ และพร้อมที่จะพัฒนาไปกับประเทศเพื่อนบ้านในทุกประเทศเพื่อสร้างความแข็งแรง และทำความเข้าใจเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างอำนาจต่อรองร่วมกันในบริบทโลกปัจจุบัน

3) การทำงานเป็น “ทีมประเทศไทย” อย่างจริงจังและจริงใจเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกันโดยเห็นว่าการดำเนินงานด้านการทูตหรือการต่างประเทศในบริบทโลกปัจจุบันมีหลายมิติและไม่ได้จำกัดอยู่ในมิติการดำเนินงานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ทำให้การขับเคลื่อนการทูตเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างแข็งขัน ภายใต้แนวคิด “ทีมประเทศไทย” ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำทีมประเทศไทยต้องการให้กลไกทีมประเทศไทยเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การต่างประเทศ โดยรัฐบาลมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมประเทศไทย ด้วยการชี้เป้าหมายที่ชัดเจน และปลดล็อกเครื่องมือต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว บูรณาการ และมีประสิทธิภาพ สามารถนำพาประเทศก้าวข้ามสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน ไปยืนในตำแหน่งที่สง่างามและได้ประโยชน์สูงสุดภายใต้บริบทโลกใหม่ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำการแสดงจุดยืนของไทยในประเด็นสำคัญทั้งระดับทวิภาคี ภูมิภาค หรือระดับโลก รวมถึงการชี้แจงและสื่อสารอย่างเหมาะสมในทุกระดับและหลากหลายช่องทาง เพื่อให้ประเทศต่างๆ เข้าใจถึงท่าทีหรือจุดยืนของไทยอย่างถูกต้อง โดยไทยยึดจุดยืนในสันติภาพ การหาทางออกร่วมกันอย่างสันติวิธี ผ่านกรอบความร่วมมือต่างๆ พร้อมสร้างความเข้าใจ และพัฒนาไปพร้อมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะใน 3 กรณีสำคัญที่ต้องมีการสื่อสารและชี้แจงอย่างเหมาะสม ได้แก่

1. กรณีมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
2. สถานการณ์การเมืองในเมียนมา และ 3. กรณีข้อพิพาทกับกัมพูชา เพื่อให้นานาประเทศทราบถึงพัฒนาการและเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินนโยบายของไทยต่อประเด็นดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (
Joint Boundary Committee – JBC) ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 จะมีส่วนทำให้เกิดความเข้าใจระหว่างสองประเทศมากขึ้น

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หวังอย่างยิ่งว่าการประชุมในครั้งนี้จะสร้างความเข้าใจให้กับทีมประเทศไทยเกี่ยวกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนแผนต่างๆ ให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ในฐานะหัวหน้าทีม นำทีมประเทศไทยในด่านหน้าทั่วโลกดำเนินการตาม Action Plan ที่ได้ร่วมกันจัดทำในการประชุมครั้งนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงภายหลังพิธีปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 ว่า ในที่ประชุมมีการแลกเปลี่ยนความเห็นพร้อมกับกำหนดนโยบายในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ และนโยบายการต่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการ ได้แก่

1. การปรับกระบวนทัศน์นโยบายต่างประเทศ ให้สอดคล้องกับระเบียบโลกใหม่ จะต้อง Re-positioning รักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ แสวงหามิตรในภูมิภาคต่างๆ และมหาอำนาจขนาดกลาง

2. Re-branding สร้างภาพจำของไทยในบริบทโลก โดยเน้นไปที่ Modern Soft Power ซึ่งจะต้องนำไปปฏิบัติให้ได้ เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมตอบสนองให้กับประชาชนสามารถจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม และต้องเปลี่ยนภาพลักษณ์ของประเทศไทยจากเดิมที่เป็นมิตรกับทุกประเทศ ผลักดันให้ไทยเป็นมิตรที่ขาดไม่ได้ของทุกกลุ่มประเทศ

3. การดำเนินการการทูตเชิงรุก (Proactive Diplomacy) กระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน และในอีกหลายกลุ่มภูมิภาคที่ไทยเป็นสมาชิก การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก
มีความสำคัญในสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงในระเบียบโลกใหม่

ในระยะสั้น จะดึงดูดการท่องเที่ยว เพิ่มคุณค่าของการส่งออก และธุรกิจการท่องเที่ยวทั้งกลุ่มที่มีกำลังซื้อ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และดึงดูดกลุ่มทาเลนจ์จากทั่วโลก ส่วนในระยะกลางและระยะยาว จะเน้นส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและมีบทบาทในการพูดคุยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเร่งรัดและผลักดันการค้าการลงทุน ได้แก่ 1. การเจรจา FTA ใหม่ๆ 2. การเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับประเทศใหม่ๆ 3. การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและโลจิสติกส์ 4. การดึงดูดการลงทุนนวัตกรรมที่เป็นผลประโยชน์กับประเทศชาติ เช่น การผลักดันพลังงานสะอาด การลดคาร์บอน 5. การมีส่วนช่วยในการผลักดันระเบียบโลกใหม่ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ดิจิทัล ธรรมาภิบาล จริยธรรมในการใช้ AI และความมั่นคงทางไซเบอร์

ขณะที่ การปรับกระบวนทัศน์ของทีมประเทศไทยจะต้องขับเคลื่อนนโยบายการต่างประเทศในทุกภาคส่วนให้ไปในทิศทางเดียวกัน ในที่ประชุมยังได้ระดมสมองหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับการบริการประชาชนในด้านกงสุล ดูแลคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศ สื่อสารข้อมูลสำคัญพื้นฐาน และข้อมูลที่ประชาชนให้ความสนใจ เช่น การดูแลแรงงาน-นักเรียนในต่างประเทศ การอพยพคนไทยในกรณีฉุกเฉิน นโยบายต่อสถานการณ์เมียนมา การแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ จะช่วยกันขับเคลื่อนผลการประชุมและนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายที่ใช้นโยบายการต่างประเทศเป็นเครื่องมือเชิงรุกตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการเห็นการทูตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง