บรรยากาศการประชุม JBC วันแรกเป็นไปด้วยดี ยืนยัน ไทยใช้ทวิภาคี และการหารือทางการทูต เพื่อลดความตึงเครียด นำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน และไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก
(14 มิ.ย. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ไทย-กัมพูชา รวมถึงความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ (Joint Border Commission: JBC) ครั้งที่ 6 ที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ ว่า นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการ JBC ฝ่ายไทย ได้ร่วมประชุมวงเล็กก่อน จากนั้นจึงเข้าร่วมการประชุม JBC ที่ได้หารือตามวาระ โดยบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี ปรับความเข้าใจตามสถานการณ์ และทั้งสองฝ่ายประชุมกันอย่างตรงไปตรงมา ฝ่ายไทยหวังว่า การประชุมครั้งนี้ จะช่วยลดความตึงเครียดและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต
นายนิกรเดช ยังยืนยันว่า ไทยไม่รับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) ไทยต้องการแก้ไขปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี รวมถึงการหารือทางการทูต เพราะมั่นใจว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมและยังเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และธรรมเนียมปฏิบัติสากลตามที่องค์การสหประชาชาติกำหนด โดยกลไก JBC และกลไกอื่นๆ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่ามีผลสำเร็จเป็นรูปธรรม เช่น การก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท) กลไกเหล่านี้สะท้อนถึงประสิทธิผลความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
กัมพูชานำ 4 ข้อพิพาท ยื่นฟ้องต่อศาลโลกแล้ว
(15 มิ.ย. 68) พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์หนังสืออย่างเป็นทางการที่กัมพูชาเลือกกฎหมายระหว่างประเทศและสันติภาพ โดยระบุว่า รัฐบาลกัมพูชาได้ส่งหนังสืออย่างเป็นทางการถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อช่วยหาทางแก้ไขข้อพิพาทชายแดนในบริเวณปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และบริเวณมุมไบ หรือช่องบก-สามเหลี่ยมมรกต
นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต กล่าวว่า เมื่อ 63 ปีที่แล้ว วันที่ 15 มิถุนายน 2505 เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสินว่ากัมพูชาชนะในประเด็นปราสาทพระวิหาร แม้ว่าทั้งสองเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นห่างกัน 63 ปี แต่ก็เป็นความจริงที่จิตวิญญาณและวัตถุประสงค์นั้นยังเหมือนเดิม กัมพูชาเลือกที่จะยุติข้อพิพาท โดยสันติตามกฎหมายระหว่างประเทศ ผ่านกลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศของ ICJ เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนในพื้นที่ที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่งและมีความเสี่ยงสูงต่อการสู้รบ ซึ่งกลไกทวิภาคีไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ในพื้นที่ปราสาทพระวิหารเมื่อ 60 ปีที่แล้ว และปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย ในปัจจุบัน
กัมพูชาต้องการเพียงความยุติธรรม ความเป็นธรรมและความชัดเจนในการกำหนดเส้นแบ่งเขตกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่ลูกหลานของเราจะไม่ต้องเผชิญปัญหาร่วมกันไม่รู้จบอีกต่อไป ขอให้เพื่อนร่วมชาติทุกคนไว้วางใจให้รัฐบาลดำเนินการนี้ด้วยความเต็มใจและความรับผิดชอบอย่างยิ่งในการปกป้องความมั่นคงของแผ่นดินและผลประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนกัมพูชา
นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังได้โพสต์ภาพข้อความผ่านช่องทางออนไลน์ ถึงการจ้างงานและฝึกอบรมแรงงานกัมพูชา และแรงงานที่มาทำงานในประเทศไทยที่ต้องการกลับภูมิลำเนา โดยระบุว่า “ประกาศโอกาสในการทำงาน และการฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา แก่เพื่อนพลเมืองและคนงานในประเทศไทยที่ต้องการเดินทางกลับบ้านเกิด” และเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่ต้องการเดินทางกลับภูมิลำเนา กระทรวงแรงงานและการฝึกอบรมอาชีวศึกษา และกรมแรงงาน ได้ร่วมมือกับหน่วยงานปกครองระดับจังหวัดตามแนวชายแดน จัดตั้งศูนย์รับรองเพิ่มเติม นอกเหนือจากศูนย์รับรองที่จัดตั้งโดยกระทรวงกิจการสังคม กิจการทหารผ่านศึกและการฟื้นฟูเยาวชน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางกลับ พร้อมกันนี้ กระทรวงฯ ได้ส่งรถศูนย์จัดหางานเคลื่อนที่จำนวน 7 คัน เตรียมพร้อมในการขึ้นทะเบียนและเปิดโอกาสด้านการจ้างงานและฝึกอบรมทักษะด้านเทคนิคและอาชีวศึกษาให้กับแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับ
นายกฯ ยืนยัน รัฐบาลไทยไม่เคยมีแนวคิดผลักดันแรงงานต่างด้าวประเทศใดออกนอกราชอาณาจักร
(15 มิ.ย. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก และ X ว่า ประเทศไทยเปิดรับความหลากหลาย ต้อนรับแรงงานต่างชาติ ให้ความดูแลสวัสดิการแรงงานที่เดินทางเข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมายตามสิทธิ และยึดหลักสิทธิมนุษยชนตลอดมา รัฐบาลไทยไม่เคยมีแนวคิดผลักดันแรงงานต่างด้าวประเทศใดออกนอกราชอาณาจักร แต่หากมีประเทศที่ออกมาตรการเรียกแรงงานกลับบ้านและมีงานรองรับถือเป็นสิทธิเสรีภาพ ที่แรงงานแต่ละประเทศจะตัดสินใจ และอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐบาลประเทศนั้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะไม่เอาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาเป็นประเด็นการเมือง และขอเรียกร้องว่า มาตรการระหว่างประเทศใดๆ ที่เกิดขึ้น ต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนเหนือผลประโยชน์ทางการเมืองในประเทศของตนโดยไม่ส่งผลดีต่อสถานการณ์
กต. แถลงข่าว การประชุม JBC ย้ำไม่มีการหารือประเด็นกัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของ ICJ และแผนที่ 1:200,000 ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด
(15 มิ.ย. 68) กระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวผ่านเว็บไซต์กระทรวงฯ ระบุว่า การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย – กัมพูชา (Joint Boundary Commission : JBC) ครั้งที่ 6 จัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ฝ่ายไทยมีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศด้านเขตแดนเป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายไทย ด้านฝ่ายกัมพูชามีนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา เป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมฝ่ายกัมพูชา โดยคณะกรรมาธิการเขตแดนประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 13 ปี หลังจากการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อปี 2555 ที่กรุงเทพฯ ทั้งสองฝ่ายร่วมกันหารืออย่างกว้างขวางซึ่งในประเด็นการดำเนินงานด้านเทคนิคภายใต้กรอบกลไก JBC นำไปสู่ความคืบหน้าสำคัญ ได้แก่
(1) รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการร่วมไทย – กัมพูชา (Joint Technical Sub-Committee (JTSC)) ครั้งที่ 4 (14 ก.ค. 67) ณ เมืองเสียมราฐ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันต่อตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตถึง 45 หลัก และเห็นชอบให้นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อความรวดเร็วในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
(2) เห็นชอบให้มีการแก้ไขแผนแม่บทว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปี 2546 (TOR 2003) เพื่อนำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ
(3) เห็นชอบการส่งชุดสำรวจร่วมไปลงสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ระหว่างหลักเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันในพื้นที่ที่ใช้ลำน้ำ หรือเส้นตรงเป็นเส้นเขตแดน โดยมอบหมายให้ JTSC ไปหารือและจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิค (Technical Instruction: TI) ร่วมกันต่อไป
(4) เห็นชอบให้มีการจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจในพื้นที่ตอนที่ 6 (จากเขาสัตตะโสม จนถึงหลักเขตแดนที่ 1 ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ) ซึ่งเป็นประเด็นคงค้างมาตั้งแต่ปี 2554 โดยมอบหมาย JTSC จัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจ ไปพร้อม ๆ กับการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเพื่อเสนอต่อ JBC ต่อไป
อย่างไรก็ดี ฝ่ายไทยแสดงความผิดหวังเป็นอย่างยิ่งต่อการที่ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยอมร่วมมือกับไทยในการแก้ไขปัญหาและลดความตึงเครียดระหว่างกัน แต่ยังเดินหน้านำเรื่องพื้นที่ 4 จุด (พื้นที่ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย) ไปสู่การพิจารณาของ ICJ ซึ่งสะท้อนว่าฝ่ายกัมพูชาขาดความตั้งใจจริงในการใช้กลไกทวิภาคีต่างๆ ที่มีอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
ในการนี้ ประธานฝ่ายไทยได้ย้ำท่าทีไทยตอบโต้ทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา (ซึ่งได้บันทึกแนบไว้ในเอกสารผลลัพธ์ Agreed Minutes ของการประชุมครั้งนี้) ดังนี้
1. การดำเนินการของไทยเป็นไปโดยความจำเป็นตามหลักการป้องกันตัวจากการที่ถูกฝ่ายกัมพูชาโจมตีก่อนและเป็นไปอย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
2. ไทยแสดงความผิดหวังที่ฝ่ายกัมพูชาเลือกที่จะปิดประตูการเจรจาอย่างสันติใน 4 พื้นที่ โดยท่าทีของรัฐบาลไทยได้เน้นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาระหว่างกันแบบทวิภาคีมาโดยตลอด และบทบาทที่สำคัญของ JBC ในการทำให้มีเขตแดนชัดเจนระหว่างกัน เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย
3. ไทยย้ำถึงความสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องยึดมั่น MOU 2543 (ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้เห็นชอบร่วมกับไทย) โดยไม่ดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเขตแดน ไม่รุกล้ำเขตแดนระหว่างกัน และทั้งสองฝ่ายจะต้องใช้ความอดกลั้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย
4. ทั้งสองฝ่ายจะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่จะนำไปสู่ความเข้าใจผิดและขัดแย้งในวงกว้าง และย้ำถึงความสำคัญของการใช้กลไกความร่วมมือทวิภาคีอื่นๆ ในการช่วยแก้ปัญหาด้วย เช่น GBC, RBC การประชุมผู้ว่าจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อให้แนวชายแดนมีความสงบเป็นปกติ และอำนวยความสะดวกการเดินทางของคนและขนส่งสินค้า ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธ
ทั้งนี้ การประชุมไม่ได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของ ICJ และไม่ได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200,000 คณะกรรมการปักปันสยาม – อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด การประชุมในครั้งนี้เป็นการหารือในประเด็นเทคนิคในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 2 ของการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามแผนแม่บทฯ ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา สมัยพิเศษ ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือนกันยายน 2568