รัฐบาลห่วงแรงงานไทยในอิสราเอล กำชับดูแลความปลอดภัย–แจ้งพิกัด-พร้อมช่วยเหลือ

นายกฯ สั่ง กต.- รง. รับมือสถานการณ์สู้รบอิสราเอล-อิหร่าน

(13 มิ.ย. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีสถานการณ์ในตะวันออกกลาง เมื่อเช้าวันที่ 13 มิถุนายน 2568 มีรายงานว่าอิสราเอลได้โจมตีเป้าหมายในกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการด่วนให้กระทรวงแรงงาน (รง.) ประสานกับบริษัทผู้จ้างให้คนไทยทำงานในอิสราเอล ให้เตรียมพื้นที่หลบภัยสำหรับแรงงานไทยหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น พร้อมขอความร่วมมือจากบริษัทจัดหางานให้ชะลอการส่งแรงงานไทยชุดใหม่ไปยังอิสราเอลชั่วคราว รวมทั้งให้แรงงานไทยในพื้นที่เพิ่มความระมัดระวังตัว หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มในพื้นที่เสี่ยง เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงจากการก่อการร้าย พร้อมกันนี้ ได้ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งชุดเฉพาะกิจเตรียมพร้อมอพยพแรงงานไทยทันที หากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น 

นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตของไทย ทั้ง 2 ประเทศ ให้ดูแลพี่น้องคนไทยที่อาศัย ที่กรุงเตหะรานและอิสราเอล ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำและติดตามข้อมูลข่าวสารจากสถานเอกอัครราชทูตอย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

นายจิรายุ ระบุว่า จากการตรวจสอบกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะรานแล้ว เบื้องต้นยังไม่พบคนไทยได้รับอันตรายจากการโจมตีครั้งนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีกำชับทุกหน่วยงาน ติดตามสถานการณ์ เฝ้าระวังและเตรียมแผนเผชิญเหตุ ในทุกสถานการณ์เพื่อคุ้มครองและดูแลความปลอดภัยของคนไทยและแรงงานไทยในต่างประเทศอย่างเต็มที่

สั่ง กต.-กห. ตั้งศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน (RRC) ช่วยเหลือ-อพยพ

(14 มิ.ย. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “รัฐบาลไทยห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่รุนแรงขึ้น และขอให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายและเลวร้ายลง ดิฉันได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดตั้งศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน (Rapid Response Center: RRC) เพื่อช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่แล้ว และได้สั่งการให้ประสานงานกับกระทรวงกลาโหม (กห.) ในการเตรียมความพร้อมที่จะอพยพคนไทยหากสถานการณ์แย่ลง”

กต. เกาะติดสถานการณ์สู้รบอิสราเอล-อิหร่าน

(14 มิ.ย. 68) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมด่วนเพื่อประเมินสถานการณ์ที่ทวีความตึงเครียดในตะวันออกกลางและเตรียมการสำหรับการอพยพคนไทย โดยสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทุกแห่งในภูมิภาคมีความพร้อมในการดูแลความปลอดภัยของชาวไทยในพื้นที่อย่างเต็มที่

โดยกระทรวงการต่างประเทศขอให้คนไทยในอิสราเอล ติดตามข่าวสาร ของทางการหรือจากสถานเอกอัครราชทูตอย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน โดยคนไทยในอิหร่านและอิสราเอล สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ที่

  • สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน: หมายเลขฉุกเฉิน : +98 9121598699
  • อีเมล์ : thaiembassy.thr@mfa.go.th
  • เฟสบุ๊ก: www.facebook.com/ThailandinIran
  • สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ: หมายเลขฉุกเฉิน : +972 546368150, +972 503673195
  • อีเมล์ : thaiembassy.tav@mfa.go.th
  • เฟสบุ๊ก: www.facebook.com/thaiembassytelaviv (ทุกเรื่องเมืองยิว)

(15 มิ.ย. 68) กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์เรื่องสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ระบุว่า ประเทศไทยมีความห่วงกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความตึงเครียดดังกล่าว ขอให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจสูงสุด เพื่อมิให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงและความขัดแย้งขยายตัวในวงกว้าง อันจะส่งผลกระทบต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประเทศไทยขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและครอบครัวของผู้เสียชีวิตและขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปกป้องพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลเรือนและมุ่งจัดการสถานการณ์ด้วยสันติวิธี ตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติและข้อมติสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตในภูมิภาคติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่ไว้แล้ว หากเกิดกรณีจำเป็นโดยกระทรวงการต่างประเทศได้เริ่มดำเนินการตั้งศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน (Rapid Response Center: RRC) แล้ว เพื่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ และสถานเอกอัครราชทูตในภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือคนไทยในกรณีจำเป็น ทั้งนี้ ขอให้พี่น้องคนไทยตื่นตัวและติดตามการประกาศการแจ้งเตือนต่างๆ และแนวปฏิบัติในภาวะฉุกเฉินของสถานเอกอัครราชทูตไทยในภูมิภาคอย่างใกล้ชิดและขอให้ประชาชนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่ดังกล่าวหากไม่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ในกรณีฉุกเฉินสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือเร่งด่วนได้ที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศต่างๆ ทุกแห่ง หรือลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน Thai Consular เพื่อรับข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วและทันการ

รง. กำชับดูแลความปลอดภัยใกล้ชิด-แจ้งพิกัดพร้อมให้ความช่วยเหลือ

(14 มิ.ย. 68) จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งต่อแรงงานไทยที่อยู่ในประเทศอิสราเอล จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานดูแลแรงงานอย่างใกล้ชิด โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เร่งดำเนินการใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่

1. ติดตามความปลอดภัยของแรงงานไทยในอิสราเอลอย่างใกล้ชิดทุกพื้นที่

2. ประสานงานกับนายจ้างและบริษัทจัดหางาน เตรียมพื้นที่ปลอดภัยและแผนอพยพแรงงานในกรณีฉุกเฉิน

3. ขอให้แรงงานทุกคน “เร่งแจ้งตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบัน” มายังสำนักงานแรงงาน ณ กรุงเทลอาวีฟ หรือแจ้งผ่านญาติให้ติดต่อกลับมายังกรมการจัดหางานในประเทศไทย เพื่อให้อัปเดตข้อมูลอย่างเป็นระบบ พร้อมให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที

นายพิพัฒน์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงาน ณ กรุงเทลอาวีฟ ประสานงานกับนายจ้างทุกรายในอิสราเอล เพื่อจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยรองรับแรงงาน พร้อมทั้งขอให้แรงงานไทยทุกคนพกเอกสารสำคัญติดตัวไว้ตลอดเวลา หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงหรือการรวมกลุ่มในที่สาธารณะและติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันได้ประสานไปยังบริษัทจัดหางานในไทยให้ “ชะลอการจัดส่งแรงงานชุดใหม่” ไปยังอิสราเอลในช่วงนี้ ตามคำแนะนำของกระทรวงการต่างประเทศ และจากการปิดน่านฟ้าของอิสราเอล

นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงาน ณ กรุงอาบูดาบี ซึ่งมีอาณาเขตดูแลแรงงานในอิหร่าน ได้รับคำสั่งให้ติดตามความปลอดภัยของแรงงานไทยในพื้นที่อย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอลประมาณ 40,000 คน หากแรงงานต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่:

  • สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน: โทร (+98) 9121598699
  • สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ: โทร +972 546368150 โทร +972 503673195
  • กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานไทย: โทร 1506 กด2

ข่าวที่เกี่ยวข้อง