การแถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. โดยมีพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และพลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ย้ำว่า ไทยไม่เคยปิดด่านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมาตรการที่ดำเนินอยู่เป็นการควบคุมคนเข้าออกและปรับเวลาเปิดปิดด่านเท่านั้น เพื่อรักษาความมั่นคงและปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดน สืบเนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่ และจะพิจารณาปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และความจำเป็นต่อไป ขณะเดียวกัน เมื่อวานนี้ฝั่งกัมพูชาได้ประกาศให้ด่านชายแดนทุกด่านระงับการนำเข้าผักและผลไม้ทุกชนิดจากประเทศไทย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารืออย่างใกล้ชิด โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เข้าประสานงานในพื้นที่ เพื่อนำผลผลิตกระจายไปยังผู้รับซื้อต่างๆ ภายในประเทศเรียบร้อยแล้ว
ส่วนเรื่องการขุดแนวร่องลึก หรือคูเลต ที่ปรากฎในสื่อออนไลน์นั้น ยืนยันว่า เป็นการขุดคูเลตในพื้นที่อธิปไตยของไทย ดังนั้นไทยจึงปฏิเสธข้อกล่าวหาว่า ไทยละเมิด MOU 2543 โดยไทยยังยึดมั่นและปฏิบัติตาม MOU 2543 ซึ่งเป็นสนธิสัญญาและกติกาที่ทางสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ย้ำว่า ไทยยึดมั่นใช้กลไกทวิภาคีในการพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชาด้วยความจริงใจ เพื่อหาความออกร่วมกัน ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและธรรมเนียมปฏิบัติสากล ซึ่งการประชุม JBC มีผลเป็นที่น่าพอใจ เพื่อสำรวจพื้นที่และจัดทำหลักเขตแดน เพื่อดำเนินการต่อร่วมกัน โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพประชุม JBC สมัยพิเศษ ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งฝ่ายกัมพูชาตอบตกลงที่จะเข้าร่วมแล้ว สำหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรือ RBC ไทยได้เสนอวันประชุมไปแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกัน
ส่วนกรณีที่ประชาชนชาวกัมพูชาร่วมเดินขบวนกลางกรุงพนมเปญ ท่ามกลางสถานการณ์พิพาทชายแดนที่ตึงเครียดในช่วงที่ผ่านมา จะดำเนินการเกี่ยวกับความปลอดภัยของคนไทยอย่างไรนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ มองว่า ประชาชนชาวกัมพูชามักมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในโอกาสต่างๆ ตนเองคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยเรียกร้องให้เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาล และสถานเอกอัคราชทูตไทย กรุงพนมเปญ ได้ประสานกับคนไทยอย่างใกล้ชิด ไม่มีความน่ากังวล
ทางด้านพลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ยืนยันว่า ไทยยึดมั่นการปฏิบัติการทางทหารตามหลักสากล ซึ่งไปตาม MOU 2543 รวมถึงการปรับปรุงพื้นที่ต่างๆ และการปฏิบัติของกองกำลังในพื้นที่ เป็นการปฏิบัติตามหลักของทหาร ที่ต้องปรับปรุงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง ความมั่นคงของพื้นที่ โดยยืนยันว่าเป็นการดำเนินการในพื้นที่อธิปไตยของไทยทั้งหมด ขณะที่ การดำเนินการตามจุดผ่านแดนต่างๆ ก็เป็นการปฏิบัติตามมาตรการของไทยอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมต่อบุคคลที่มีความจำเป็น อาทิ ผู้ป่วย นักเรียน นักศึกษา
นอกจากนี้ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ระบุว่า รัฐบาลไทย โดย ศบ.ทก. ได้ประสานผ่านกระทรวงพาณิชย์ในการหามาตรการเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ รวมกับภาคเอกชน รับผลิตผล 2,500 ตันไปจำหน่ายให้กับผู้บริโภคตามพื้นที่ต่างๆ ต่อไป