นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวด่วนถึงคลิปเสียงการพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภา โดยนายกรัฐมนตรียอมรับว่า เป็นคลิปเสียงคุยจริง คุยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ทราบข้อมูลจากคนที่เป็นล่าม ว่าทางกัมพูชาสมเด็จฮุนเซน โกรธแม่ทัพภาคที่ 2 ตนเองก็เข้าใจ เมื่อคุยกัน ก็บอกว่าในเมื่อแม่ทัพภาคที่ 2 พูดแบบนี้ ในเมื่อเราทั้งไทย และกัมพูชา เป็นฝั่งตรงข้ามและปะทะกันอยู่แล้วในตอนนั้น ก็ต้องพูดแบบนี้ อย่าไปถือสา อย่าไปคิดเลย ตนเองพยายามทำความเข้าใจก่อนว่าเขาโกรธเรื่องนี้ เป็นเทคนิคในการพูดหลังบ้าน การพูดคุยโทรศัพท์กัน ไม่ควรถูกนำเอามาเปิดเผย เพราะเป็นเทคนิคในการคุย การเจรจาต่อรอง ตนเองรู้สึกว่าตนเองทำตามจุดมุ่งหมาย ที่จะรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขของบ้านเมือง รักษาอธิปไตยของเราไว้และผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ พี่น้องประชาชน จึงคุยด้วยความซอฟต์และความนุ่มนวล
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เวลาที่คุยกันส่วนตัว ตนเองเรียกลุงเหมือนคนใน ครม. ที่ทำงานมาตั้งแต่รุ่นอดีตนายกรัฐมนตรี ตนเองก็เรียกว่า อา ลุง เป็นปกติ ได้คุยว่าเป็นอย่างไร โดยระหว่างการพูดคุยตนเองไม่แน่ใจในเรื่องของไทม์ไลน์กองทัพเป็นอย่างไร ซึ่งทางกัมพูชาบอกให้ไทยเปิดด่าน จึงบอกไปว่าเปิดพร้อมกันเลยไหม แสดงให้เห็นถึงสันติภาพว่าจับมือแล้วเปิดด่านพร้อมกัน ซึ่งเขาไม่ยอม ตนเองจึงบอกว่าไม่ยอมได้อย่างไร ไทยก็ยอมแล้ว ซึ่งเขาก็บอกว่า ไทยต้องเปิดก่อน แล้วอีก 5 ชั่วโมงฝั่งกัมพูชาจะเปิดตาม และก็บอกว่าเขาเป็นลูกผู้ชาย คำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ตนเองจึงบอกว่าเดี๋ยวขอปรึกษากับทีมกระทรวงกลาโหมก่อน เพื่อให้คำตอบในวันพรุ่งนี้ (16 มิ.ย. 68) คือการประชุมร่วมกันกับหน่วยงานความมั่นคงที่บ้านพิษณุโลก โดยการประชุมยังไม่ทันเลิกเลยก็มีการโพสต์เฟซบุ๊กของสมเด็จฮุนเซน ว่าถ้าประเทศไทยไม่เปิดด่านภายใน 24 ชั่วโมง จะปิดด่านทั้งหมดเลย
จึงรู้สึกว่า “อ้าวทำไมไม่เหมือนที่คุยกันไว้” เราพยายามพูดด้วยความใจเย็น เพื่อที่อยากทราบจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไร ว่ามีอะไรที่สามารถทำเพิ่มเติมได้หรือไม่ หรือคุยกันอย่างไรให้เกิดสันติภาพ ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อกัน นี่คือความตั้งใจ จากนั้น สมเด็จฮุนเซน ย้ำในเรื่องของการเปิดด่านอย่างเดียว ตนเองก็ไม่กล้ารับปาก เพราะไม่แน่ใจว่ากองทัพพร้อมหรือไม่ จึงไม่รับปากและบอกว่าเดี๋ยวประชุมพรุ่งนี้เสร็จแล้วจะบอก
แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วค่ะ ว่าความต้องการของท่านจริง ๆ แล้วเป็นความต้องการคะแนนนิยมในประเทศของท่านเอง โดยไม่สนใจว่าจะเกิดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร การที่ท่านต้องการมี Popularity ในประเทศของท่าน เพราะท่านก็เคยบอกดิฉันว่าคะแนนนิยมเริ่มตก อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อยากจะเรียกพลังตรงนี้ ซึ่งดิฉันหวังว่าท่านจะได้คะแนนความนิยมเพิ่มและอยู่ในสายตาของโลกที่จับตามองอยู่ ว่าเมื่อผู้นำสองท่านคุยกันส่วนตัว แต่มีการอัดคลิปแล้วปล่อยออกมาแบบนี้ แน่นอนว่าดิฉันไม่ได้ปล่อย จะได้เข้าใจจุดประสงค์ว่าจริงๆ แล้วเราเจรจาเพื่อให้เกิดสันติภาพ ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นหนึ่งในการทำให้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น
ส่วนประเด็นการสนทนาแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ใช่พวกเรา ถือเป็นเทคนิคในการสนทนา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ใช่พวกเรา ประเทศไทยกับกัมพูชาเป็นฝั่งตรงข้ามกันอยู่แล้ว การพูดแบบนี้ก็ต้องพูดกันไม่ดีอยู่แล้ว แต่ต้องทำความเข้าใจว่า แม่ทัพภาค 2 ก็พูดไปแบบนั้น เพื่อทำความเข้าใจเขา เพราะข้อความก่อนที่จะพูดคุยทางคนแปลบอกว่าสมเด็จฮุนเซน โกรธที่คลิปแม่ทัพภาค 2 ออกมา แล้วก็ว่าออกไปว่าไม่ยอมซึ่งถ้าฟังทั้งคลิป ก็ไม่ได้มีอะไร แต่เป็นประโยคแค่นั้นที่ตัดออกไป
ส่วนที่มีรายงานว่าจะมีการปล่อยคลิปเต็มในการสนทนาออกมานั้น จะมีปัญหาอะไรตามมาหรือไม่ เพราะในประเทศเราเหมือนถูกยุยงให้รบกันเอง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ใช่ ไม่อยากให้คนไทยไปหลงกลตรงนี้ เพราะเป็นเทคนิคอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเราทะเลาะกัน ซึ่งประโยคแรกที่ตนเองพูด คือต้องการแสดงความเข้าใจกับเขาก่อนและอะไรที่จะทำให้ประเทศชาติสงบสุข ทำให้การปะทะจบลงสักที ตนเองอยากรู้และใช้ความสามารถในการพูดคุย ท่านก็ไม่ยอมจะให้เราเปิดด่านอย่างเดียว จึงบอกว่าขอปรึกษาทางกองทัพก่อนว่าอย่างไร
ส่วนการปล่อยคลิปออกมาแบบนี้ จะสามารถพูดคุยกันต่อได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่ทราบ พร้อมหัวเราะ ส่วนจะใช้สันติวิธีได้หรือไม่นั้นตนเองไม่ได้จะไปท้าตีท้าต่อยอยู่แล้ว แต่ว่าคงไม่มีการคุยส่วนตัวแล้ว
เมื่อถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตรและตระกูลฮุน ถือว่าจบลงแล้วหรือไม่ นายกรัฐมนตรี หัวเราะ ก่อนระบุว่า ไม่ทราบว่ายังไง แต่ตนเองไม่ขอคุยส่วนตัวแล้วแล้วกัน เพราะว่ามีปัญหาในเรื่องของความไว้ใจ
เมื่อถามว่าล่ามแปลเหมือนนายกรัฐมนตรีอยู่ตรงข้ามกับฝั่งแม่ทัพภาคสอง จะต้องทำความเข้าใจกับแม่ทัพภาค 2 หรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างรัฐบาลกับทหาร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เข้าใจเลยว่านาทีนี้ ถ้าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับกองทัพจริงๆ ทำไมต้องบอกว่ารอกองทัพคิดก่อนว่าจะทำอย่างไรในวันต่อมา ทำไมต้องรอกองทัพ ก็ไม่ต้องรอสิ แต่มันไม่ใช่
“บทสนทนาแบบนี้ไม่ควรออกอยู่แล้ว นี่ระดับผู้นำของประเทศ นายกฯ และอดีตนายกฯ ที่เป็นมาตั้งแต่อายุ 32 เป็นพ่อของนายกรัฐมนตรี บทสนทนาแบบนี้ก็ออกมา ก็นั่นแหละค่ะ” นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้าย