นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2568 โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายกรัฐมนตรีกล่าวก่อนการประชุมว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีปัญหาเรื่องการขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าศักยภาพ สัดส่วนการลงทุนของภาครัฐและเอกชนเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ก็อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่สะสมมานาน จึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างโดยด่วนเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้อีกครั้ง โดยเครื่องมือที่สำคัญในการแก้ปัญหาคือเงินงบประมาณ โดยเฉพาะงบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีอยู่จำนวน 157,000 ล้านบาท กระทรวงการคลังจึงได้เสนอ “แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท” เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น หน่วยงานต่างๆ ได้ทยอยเสนอโครงการเพื่อขอรับงบประมาณมายังสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง โดยมีคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ทำหน้าที่กลั่นกรองโครงการต่างๆ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบไปแล้ว และนำมาเสนอในคณะกรรมการชุดนี้ร่วมกันพิจารณา
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขอให้ช่วยกันพิจารณาข้อเสนอโครงการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ อย่างรอบคอบ และปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะระเบียบปฏิบัติ ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงิน การคลัง และ พ.ร.บ วิธีการงบประมาณ ให้รอบคอบ ตรวจสอบได้ และไม่เกิดการทุจริต เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจเกิดประโยชน์เต็มที่ต่อระบบเศรษฐกิจและพี่น้องประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป
ที่ประชุมฯ รับทราบมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เรื่องแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท รวมถึงผลการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2568 – ครั้งที่ 9/2568
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผน
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท โดยมีมติที่ประชุมที่สำคัญ ดังนี้
1. รับทราบหลักเกณฑ์การพิจารณากลั่นกรองโครงการ/รายการ กระตุ้นเศรษฐกิจตามแผน
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท (ข้อเสนอโครงการฯ)
2. ให้ความเห็นชอบข้อเสนอโครงการฯ ที่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ (ตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 1)
3. มอบหมายให้กระทรวงการคลังนำเสนอภาพรวมข้อเสนอโครงการฯ ต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ความเห็นชอบเพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า (24 มิถุนายน 2568) โดยเป็นการพิจารณาโครงการฯ และหลักเกณฑ์ตามวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก รัฐบาลจึงจะใช้งบประมาณเพื่อเสริมศักยภาพความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อกลั่นกรองโครงการต่างๆ ยึดตามกติกา ระเบียบงบประมาณอย่างเคร่งครัด เพื่อใช้งบประมาณ 157,000 ล้านบาท โดยยืนยันว่าต้องใช้อย่างระมัดระวัง รอบคอบ และครอบคลุมทุกเรื่อง โดยสามารถกลั่นกรองการใช้งบประมาณได้ 110,000 ล้านบาทที่ยึดหลักความคุ้มค่า โดยคณะกรรมการชุดใหญ่ได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบ ดังนี้
1. การกระจายการลงทุนได้ทั่วประเทศ และระดับพื้นที่อำเภอในหลายจังหวัด
2. การกระจายเงินลงทุน โดยให้ผลลัพธ์สามารถช่วยจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำจะได้รับแบ่งสัดส่วนของเงินในอัตราที่สูงกว่าจังหวัดที่มีรายได้ที่สูง
3. พิจารณาการจ้างงานมีอัตราสูงขึ้นประมาณ 6 – 7 ล้านคน หรือคิดเป็นค่าจ้างประมาณ 30% ของงบประมาณ หรือ 30,000 ล้านบาท
จากการพิจารณาของที่ประชุมฯ เห็นว่าโครงการต่างๆ เป็นไปตามวัตถุประสงค์จึงให้ความเห็นชอบ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับอีกครั้งว่า ทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการใช้งบประมาณ โครงการที่เสนอขอ และขอให้เจ้ากระทรวงฯ ของหน่วยงานที่สังกัดช่วยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด กรณีที่คิดว่าการใช้งบประมาณไม่ตรงตามวัตถุประสงค์สามารถขอระงับหรือไม่ใช้งบประมาณนี้ได้ หลังจากนี้จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมฯ ขึ้นมาอีกหนึ่งชุด เพื่อตรวจทานและติดตามให้โครงการเหล่านี้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ส่วนงบประมาณที่เหลืออีก 1 ส่วน ที่มีโครงการเสนอขอเข้ามาประมาณกว่า 40,000 ล้านบาท จะนำมาพิจารณาอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและเพิ่มเติมโครงการในบางจุด
ที่อาจจะตกหล่นได้
สำหรับโครงการที่มีการเสนอขอเข้ามาเป็นจำนวนมากคือ โครงการน้ำที่มีหลายมิติ เช่น น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การป้องกันน้ำท่วม น้ำเพื่อการเกษตร และโครงการคมนาคม เช่น การก่อสร้างถนนเชื่อมเมืองหลักสู่เมืองรอง และระบบความปลอดภัยของถนน รวมแล้วกว่า 70% โครงการด้านการท่องเที่ยว 10% และอื่น ๆ (กรณีกำแพงภาษีทรัมป์, โครงการเกี่ยวกับการศึกษา เป็นต้น) ทั้งนี้ การลงทุนโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศจะทำให้ประเทศไทยมีความน่าสนใจที่นักลงทุนอยากจะลงทุนมากขึ้นเกิดการลงทุนที่ดีและมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องจากความเชื่อมั่น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจริงๆในระยะยาว
นายพิชัย ระบุว่า การใช้งบประมาณในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การใช้งบกลางและต้องจัดทำงบประมาณผูกพันภายใน 30 กันยายน 2568 โดยใช้ไม่เกินระยะเวลา 1 ปี พร้อมคาดว่า ภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจหากใช้ได้ทั้งหมดตามกรอบ 157,000 ล้านบาท จะช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ให้เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.5 – 0.6 แต่หากดำเนินการได้ประมาณ 110,000 ล้านบาท จะช่วยให้ GDP เพิ่มขึ้น 0.4 – 0.5”