แถลงการณ์รัฐบาล “กรณีสถานการณ์ความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา”
(19 มิ.ย. 68) เวลา 13.30 น. แถลงการณ์รัฐบาล “กรณีสถานการณ์ความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา” พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขออภัยต่อพี่น้องประชาชนด้วยความจริงใจ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับผู้นำกัมพูชาที่เกิดขึ้น โดยทุกการดำเนินการเป็นไปภายใต้เจตจำนงที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ รักษาผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนไทย ทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและพักอาศัยอยู่ในกัมพูชาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ทั้งนี้เจตนาดังกล่าว ไม่นึกว่าจะเกิดเหตุไม่พึงประสงค์และน่าเสียใจอย่างยิ่งที่ความจริงใจของเรา กลับมีผลตอบรับตรงกันข้าม
รัฐบาลไทยยึดหลักสันติวิธี ใช้กลไกทวิภาคีเรื่องเขตแดนที่มีอยู่ โดยเฉพาะการทำงานของ JBC ที่รัฐบาลไทยและกัมพูชาร่วมมือกันมาตลอด 26 ปี เพื่อคลี่คลายปัญหา แต่ในระหว่างนั้นได้ปรากฏเหตุการณ์สื่อสารโต้ตอบไปมา ที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น หากรัฐบาลนิ่งเฉย และไม่แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ย่อมเกิดความเสี่ยงที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสียต่อชีวิตและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยได้ นายกรัฐมนตรีจึงตัดสินใจใช้วิธีทางการทูต ผ่านการโทรศัพท์พูดคุยโดยตรงกับผู้นำกัมพูชา ซึ่งถือเป็นวิธีปฏิบัติหนึ่ง ที่ผู้นำประเทศโดยทั่วไปใช้แก้ไขปัญหาระหว่างรัฐบาล และเลือกใช้ถ้อยคำที่มุ่งโน้มน้าวให้กัมพูชาร่วมมือลดระดับการเผชิญหน้า โดยมีเป้าหมายสำคัญประการเดียว คือ ปกป้องอธิปไตย รักษาผลประโยชน์ของชาติ
รัฐบาลที่มาจากประชาชน ต้องปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน และต้องไม่แสดงออกเพียงมุ่งหวังคะแนนนิยมทางการเมือง เมื่อปรากฏเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาขาดความจริงใจ และไม่มีความเคารพซึ่งกันและกันในการร่วมมือแก้ไขปัญหา รัฐบาลไทยจึงได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมความพร้อมรับมือต่อภัยคุกคามของชาติ โดยนายกรัฐมนตรีได้ประชุมหารือและประสานการปฏิบัติกับผู้นำเหล่าทัพและฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิดเป็นเอกภาพ
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาเพื่อยื่นหนังสือประท้วง แสดงความผิดหวังอย่างยิ่งต่อการกระทำของผู้นำกัมพูชา ซึ่งขัดต่อหลักปฏิบัติในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นสากลและจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเป็นลำดับต่อไป
ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์ผืนแผ่นดินไทย ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีพลังใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าพลังสามัคคีของพี่น้องชาวไทย ไม่ตกเป็นเหยื่อของสงครามข่าวสารที่อาจมีผู้ไม่หวังดีมุ่งทำลายเอกภาพของฝ่ายไทย ด้วยปฏิบัติการหลายรูปแบบซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ
รัฐบาลขอให้คำมั่นต่อพี่น้องประชาชนว่า จะทุ่มเทอย่างที่สุดเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ พร้อมรับใช้และรักษาทุกชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างสุดความสามารถดังที่ได้ดำเนินการเสมอมา
นายกฯ แถลงขอโทษประชาชนกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุน เซน พร้อมย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ
(19 มิ.ย. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวหลังเรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคง หารือถึงสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ว่า ต้องขออภัยคนไทยทุกคนกรณีคลิปเสียงการสนทนากับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น โดยได้มีโอกาสได้คุยกับแม่ทัพภาคที่ 2 และทางกองทัพ ได้อธิบายถึงเจตนาว่าเป็นเพียงเทคนิคของการสื่อสารที่จะเจรจาเพื่อทำความเข้าใจก่อนคุยถึงรายละเอียดที่จะนำไปสู่การต่อรองไม่ให้เกิดการปะทะ ซึ่งเป็นความตั้งใจที่แท้จริง เพราะอยากให้สถานการณ์สงบสุขเท่านั้น และไม่ทราบจริงๆ ว่าจะมีการอัดคลิปและเผยแพร่แบบนี้ ทั้งนี้ทางกองทัพได้รับฟัง และบอกว่า วันนี้จะต้องร่วมมือกัน รวมถึงคนไทยทุกคนก็ต้องผนึกกำลังเอาไว้เช่นกันทุกภาคส่วนและได้สรุปว่า สิ่งนี้ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ เราไม่มีเวลาที่จะมาทะเลาะกันเอง เราต้องปกป้องอธิปไตยของเราไว้ และนี่คือสิ่งที่เห็นตรงกัน ยืนยันรัฐบาลยินดีสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ
อย่างไรก็ตามการจะดำเนินการมาตรการใดๆ ต้องคำนึงถึงคนไทยที่อยู่ในกัมพูชา รวมถึงประชาชนในพื้นที่ชายแดนด้วย ต้องให้ความมั่นใจให้ความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชน โดยกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญเอกอัครราชทูตของกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อมายื่นหนังสือประท้วง แสดงความผิดหวังอย่างยิ่งต่อการกระทำของผู้นำกัมพูชา ซึ่งทั่วโลกไม่มีใครทำแบบนี้จึงไม่ควรเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกอยู่แล้ว
นายกรัฐมนตรี ย้ำด้วยว่า รัฐบาลไทยกับกองทัพ ขอแสดงความรับผิดชอบในเรื่องของการปกป้องอธิปไตย ที่เรากำลังดูแลร่วมกันและขอยืนยันอีกครั้งว่ารัฐบาลกับกองทัพเป็นหนึ่งเดียวกัน ขอให้พี่น้องประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกับเราด้วย เพื่อที่จะสามัคคีเอาไว้ในชาติ ปกป้องอธิปไตยของเราไว้ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะต้องมาสู้กันเอง สิ่งที่เกิดขึ้นต้องขออภัย และต่อจากนี้จะระวังในเรื่องของการพูดคุยให้มากขึ้นและแน่นอนว่าทางกองทัพที่เราคุยกันเรามั่นใจอย่างหนึ่งว่าถ้าเรารวมกันเป็นหนึ่ง เราสามัคคีกัน เราจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันอย่างแข็งแรงได้
กต. เชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย รับหนังสือประท้วงกรณี สมเด็จ ฮุน เซน เผยแพร่คลิปเสียงสนทนากับนายกฯ
(19 มิ.ย. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ตามที่ได้มีการเปิดเผย บทสนทนาส่วนตัวระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทย กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาต่อสาธารณชน ฝ่ายไทยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่อจรรยาบรรณ และมารยาทพื้นฐานของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่ไม่อาจยอมรับได้ และถือเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ และความพยายามที่จะใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ฝ่าย ตามแนวปฏิบัติสากลและการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะเป็นใคร ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือหัวหน้ารัฐบาลของประเทศที่ควรได้รับการเคารพและให้เกียรติตามแนวปฏิบัติสากลของการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศ จึงได้มีหนังสือประท้วงกรณีดังกล่าว ผ่านช่องทางการทูต โดยได้เชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย มารับหนังสือดังกล่าว เพื่อแจ้งว่า การกระทำข้างต้นของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ถือว่าผิดมารยาทพื้นฐานของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และถือเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างร้ายแรง การดำเนินการของฝ่ายไทย ซึ่งรวมถึงการตอบโต้ดังกล่าวเป็นไปตามแนวปฏิบัติทางการทูต กระทำโดยใช้วิจารณญาณ มีความรอบคอบโปร่งใส มีวุฒิภาวะใช้สันติวิธีและดำเนินการอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาไว้เรียบร้อยแล้ว กระทรวงการต่างประเทศ ขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้เป็นการดำเนินการทางการทูต ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่ปัญหาระหว่างประชาชน 2 ประเทศ ซึ่งต่างจากกัมพูชาที่ใช้การสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย โดยมุ่งหวังเพื่อปลุกระดมความนิยมจากประชาชน และสร้างความแตกแยก ให้กับสังคมของทั้ง 2 ประเทศ หรือของประเทศอื่น ซึ่งแสดงถึงการไม่เคารพหลักการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และการกระทำเช่นนี้ไม่ควรได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากประชาคมระหว่างประเทศ
ศบ.ทก. ยืนยัน ไทยไม่ได้รุกล้ำน่านฟ้า หรือแผ่นดินกัมพูชา
ภายหลังการประชุมของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) ซึ่งมีนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และพลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมแถลงผลการประชุม โดยมีรายละเอียดดังนี้
นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวสรุปสาระสำคัญของการประชุมศูนย์เฉพาะกิจฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการต่างประเทศ 2 ประเด็น ดังนี้
1. กรณีที่มีการกล่าวหาในสื่อสังคมออนไลน์และช่องทางอื่นๆ ว่า ฝ่ายไทยได้มีการใช้โดรนบินในน่านฟ้าของกัมพูชา มีการขุดคูเลต ระดมอาวุธ สร้างสิ่งปลูกสร้าง และมีการเสริมกำลังพลตามแนวชายแดน โดยขอย้ำอีกครั้งว่าจากการกล่าวหามาทั้งหมดนี้ อยู่บนพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ไม่มีการรุกล้ำน่านฟ้าและแผ่นดินของกัมพูชาแต่อย่างใด และยังคงมีกำลังพลเช่นเดิม ดังนั้น ไทยจึงปฏิเสธคำกล่าวหาที่ว่าไทยละเมิด MOU 2543 ซึ่งป็นสนธิสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายยึดถือและปฏิบัติตาม
2. ทางรัฐบาลไทยยังคงเชื่อมั่นว่ากลไกทางการทูต กลไกทวิภาคี การเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่าย ยังเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหาเขตแดนระหว่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับธรรมเนียมปฏิบัติสากล โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Border Commission: JBC) สมัยพิเศษ ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพครั้งต่อไป ในเดือนกันยายน 2568 นี้ จะวางพื้นฐานสำหรับการทำงานร่วมกันต่อไป และทั้งสองฝ่ายจะสามารถตกลงร่วมกันได้
สำหรับด้านความมั่นคง พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นในการปฏิบัติการทางทหาร โดยกองกำลังในพื้นที่ ซึ่งมีจำนวน 3 กองกำลัง ได้แก่ กองกำลังสุรนารี กองกำลังบูรพา และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ซึ่งยังคงเฝ้าระวังทางทหารตามแนวทางการดำเนินการของกองทัพอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่เป็นอธิปไตยของไทย
กรณีแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการจำกัดประเภทคน และการเปิด-ปิดการเข้าออกด่านผ่านแดน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน พร้อมให้การสนับสนุนจัดหางานทดแทนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ส่วนแรงงานไทยในกัมพูชา รัฐบาลได้จัดเตรียมมาตรการในการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันไม่มีนโยบายผลักดันแรงงานกัมพูชากลับประเทศ
กรณีเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการจำหน่ายสินค้าผักและผลไม้ผ่านแดน กระทรวงพาณิชย์ได้มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ผ่านการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ ผู้ค้าปลีก ผู้ค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าท้องถิ่น เป็นต้น รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากไปรษณีย์ไทย ในการจัดส่งสินค้าผ่านทางไปรษณีย์ ในส่วนของเกษตรกรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ กระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้ พาณิชย์จังหวัด ประสานงานจัดหาพื้นที่ที่สามารถนำสินค้าผักและผลไม้ออกจำหน่ายให้กับประชาชน ยืนยันว่าทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการรับซื้อและจำหน่ายสินค้าของเกษตรกรเป็นอย่างดี
ในช่วงท้าย รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเสริมว่า ในช่วงนี้มีการเปิดเผยข่าวสารต่างๆ ที่อาจจะสร้างความแตกแยก จึงขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารข้อเท็จจริงจากช่องทางของ ศบ.ทก.
“นฤมล” ยืนยัน ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา ไม่กระทบส่งออกสินค้าภาคเกษตรไทย
(19 มิ.ย. 68) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงข่าวผลกระทบต่อภาคการเกษตรต่อกรณีไทย-กัมพูชา ว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กระทรวงเกษตรฯ ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ดูแลผลกระทบกับภาคการเกษตร และหาแนวทางที่จะทำให้เกษตรกรได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดตัวเลขสินค้าที่ส่งออกไปยังประเทศกัมพูชาหรือมีการขนส่งผ่านทางกัมพูชาเพื่อส่งออกไปยังประเทศเวียดนามนั้น มีจำนวนและปริมาณไม่มาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าในกลุ่มอื่นๆ ไม่ใช่สินค้าภาคการเกษตร ซึ่งทางกัมพูชาน่าจะได้รับผลกระทบในการส่งออกสินค้ามาที่ประเทศไทยมากกว่า เช่น มันสำปะหลัง ประมาณ 7,000 – 9,000 ล้านบาทต่อปี โดยมองว่าน่าจะเป็นผลดีกับราคามันสำปะหลังในประเทศมากกว่า เพราะภาคเอกชนจะหันมาใช้มันสำปะหลังในประเทศมากขึ้น รวมถึงพืชชนิดอื่นๆ ที่สามารถนำมาทดแทนได้ อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหามันสำปะหลังจากแหล่งอื่นมาทดแทนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความต้องการใช้เป็นวัตถุดิบ นอกจากนี้ สินค้าเกษตรของไทยส่วนใหญ่ส่งออกไปประเทศจีนมากที่สุด โดยขนส่งผ่านทางประเทศลาว เช่น ทุเรียน เป็นต้น
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอื่นๆ เข้าไปช่วยเหลือและระบายสินค้าไปยังแหล่ง อื่นๆ และได้มีข้อสั่งการให้จัดทำแผนระยะกลางและระยะยาวหากเหตุการณ์ตึงเครียดยืดเยื้อออกไป นอกจากนี้ จะประสานกับภาคเอกชนในการรับซื้อสินค้าจากเกษตรกรไทย แทนการนำเข้าจากต่างประเทศ
ศ.ดร.นฤมล กล่าวด้วยว่า อยากให้คนไทยมีความสามัคคีกัน และขอให้พี่น้องประชาชนและเกษตรกรทั่วประเทศ คลายความกังวล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะดูแลเกษตรกรอย่างใกล้ชิด จะไม่ปล่อยให้เกิดผลกระทบขึ้นอย่างแน่นอน