รมว.ยุติธรรม นำทีมบูรณาการทหาร-ตำรวจ-อัยการสูงสุด เปิดปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ทลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ชายแดนภาคเหนือ

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ประกอบด้วย นายนิยม เติมศรีสุข ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม พลตำรวจโท​ ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และหน่วยงานความมั่นคง ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ครั้งที่ 4 โดยพุ่งเป้าไปที่การยึดทรัพย์สินของผู้ต้องหาตามหมายจับและเครือญาติรวม 8 ราย ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย 3 จุด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดและอายัดทรัพย์สิน ได้แก่ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 2 แห่ง รถยนต์ 1 คัน รถจักรยานยนต์ 1 คัน และเงินฝากในบัญชีธนาคาร 625,000 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 3.6 ล้านบาท นอกจากนี้ ป.ป.ส. เตรียมออกหนังสือเรียกบุคคลที่มีเส้นทางการเงินต้องสงสัยอีก 12 ราย เข้ามาชี้แจงข้อมูลธุรกรรมการเงิน หากไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเครือข่ายนี้ มีทรัพย์สินต้องสงสัยรวมมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท

โดยปฏิบัติการในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากการจับกุมผู้ต้องหา 8 ราย พร้อมยาบ้ากว่า 3 ล้านเม็ด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 โดยยาเสพติดดังกล่าวเป็นของ นายธัชพล ตระกูลมั่งมีดี หรือที่รู้จักกันในนาม “อาฉ่าง” หรือ “เสี่ยม้าบิน” ซึ่งเป็นผู้บงการให้บุคคลในเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก สหภาพเมียนมา เข้าสู่พื้นที่ชายแดนไทยด้านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ก่อนส่งต่อไปยังพื้นที่ตอนในของไทยเพื่อจำหน่ายในประเทศ หรือส่งต่อไปยังประเทศที่สาม

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมา ในการปราบปรามยาเสพติด เนื่องจากปัญหาการค้ายาเสพติดในลักษณะเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค การบูรณาการข่าวกรองระหว่างหน่วยงานภายในประเทศและระหว่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง การประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดจะนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ในการสืบสวนขยายผลเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เป็นรูปธรรม

สำหรับเครือข่ายที่ปฏิบัติการในวันนี้ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ บุคคลเป้าหมายหลัก ที่ถูกออกหมายจับมีพฤติการณ์ในระดับผู้สั่งการ มีศักยภาพในการจัดหายาเสพติดไปกระจายในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงนำเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดมาแปลงเป็นทรัพย์สิน และลงทุนในธุรกิจต่างๆ ทั้งในไทยและเมียนมา ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท

ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ได้มอบหมายให้ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมคณะ เดินทางไปเมียนมา เพื่อพบกับ พลตำรวจโท วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจเมียนมาและเลขาธิการ CCDAC และ พลตำรวจจัตวา ต่าน ลวิน หม่อง เลขาธิการร่วมสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อหารือเกี่ยวกับเครือข่ายดังกล่าว โดยจะขอความร่วมมือจากเมียนมาให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลตามหมายจับ และยึดอายัดทรัพย์สินในเมียนมาต่อไป

ทั้งนี้​ สำนักงาน​ ป.ป.ส. และหน่วยงานภาคีให้ความสำคัญกับการปราบปรามยาเสพติดในทุกระดับการค้า ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการจับกุมกวาดล้างยาเสพติด ตัดวงจรการค้ายาเสพติดรายสำคัญให้ถึงระดับผู้สั่งการ โดยเฉพาะผู้สั่งการที่มีศักยภาพในการจัดหายาเสพติดจากต้นทางประเทศเพื่อนบ้านและใช้เครือข่ายผู้ลำเลียงชาวไทย รวมถึงใช้บุคคลชาวไทยถือครองทรัพย์สินแทน ยิ่งต้องเร่งดำเนินการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังและตัดเส้นทางการเงินของขบวนการค้ายาเสพติดให้สิ้นซาก​ตั้งแต่กลางปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี เปิดปฏิบัติการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” มาแล้วรวม 4 ครั้ง ดังนี้​ 

ครั้งที่ 1 : จับกุมบุคคลตามหมายจับ 4 ราย ตรวจยึดทรัพย์สิน 66 ล้านบาท

ครั้งที่ 2 : จับกุมบุคคลตามหมายจับ 3 ราย ตรวจยึดทรัพย์สิน 101 ล้านบาท

ครั้งที่ 3 : จับกุมบุคคลตามหมายจับ 1 ราย ตรวจยึดทรัพย์สิน 80 ล้านบาท

ครั้งที่ 4 (ล่าสุด) : ยึดอายัดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 3.6 ล้านบาท และตรวจสอบทรัพย์สินของเครือข่ายธุรกรรมการเงินต้องสงสัยมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. มอบหมายให้นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. และ นางสาวกัญญนันทน์ คงภัสนิธิโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด หารือร่วมกับ พันเอก ไตคำ เทบพาสี รองหัวหน้ากรมตำรวจนิติวิทยา และพันโท คำสุดใจ เพ็งสะหวัน หัวหน้าแผนกลดทอนความต้องการยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อตรวจตราและควบคุมยาเสพติด ณ กรมตำรวจนิติวิทยา นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทั้งสองฝ่าย ได้หารือถึงปัญหายาเสพติดร่วมกัน พบว่า สถานการณ์ยาเสพติดของทั้งสองประเทศมีความรุนแรงมากขึ้น ปริมาณยาเสพติดที่จับกุมได้มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และตัวยาเสพติดมีความซับซ้อนในรูปแบบสารผสมและสารชนิดใหม่ๆ ทั้งสองประเทศจึงเล็งเห็นความสำคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจพิสูจน์ยาเสพติด นำไปสู่การยกระดับการตรวจพิสูจน์ เพื่อนำผลการตรวจพิสูจน์ไปใช้ในการเป็นพยานหลักฐานในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งนำไปใช้ร่วมกับด้านการข่าว การสืบสวนสอบสวนในการขยายผลคดีเครือข่ายรายสำคัญระหว่างประเทศ

โดย สปป.ลาว ได้มีการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม ณ แขวงบ่อแก้ว แขวงหลวงพระบาง และแขวงสะหวันนะเขต เพื่อรองรับปัญหายาเสพติดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. ได้หารือร่วมกับห้องปฏิบัติการตรวจพิสูจน์ยาเสพติดดังกล่าว เพื่อรวบรวมข้อเสนอและความคิดเห็นในการพัฒนาการตรวจพิสูจน์ยาเสพติด ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบในการจัดทำแผนพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานด้านการตรวจพิสูจน์ยาเสพติดให้รอบด้าน ในกรอบระยะเวลา 3 ปี ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ และด้านการบริหารการจัดการ (4M) เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานความร่วมมือด้านการตรวจพิสูจน์ยาเสพติดระหว่างไทย-ลาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง