รมว.ทส. เปิด “โครงการอนุรักษ์ทะเลไทย” ตามแนวพระดำริเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ มุ่งสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการอนุรักษ์ทะเลไทย ตามแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ภาคเอกชน ชมรม และอาสาสมัครที่มีผลงานดีเด่นด้านการอนุรักษ์ทะเล และนำทีมร่วมกิจกรรมเก็บขยะบริเวณชายหาด ปล่อยเรือออกทำกิจกรรมดำน้ำเก็บขยะรอบแนวปะการัง ณ หาดนพรัตน์ธารา อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา–หมู่เกาะพีพี อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ คณะผู้บริหาร นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และนักเรียนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรมกว่า 500 คน

ดร.เฉลิมชัย กล่าวถึงความสำคัญของโครงการอนุรักษ์ทะเลไทยที่สะท้อนพระราชปณิธานอันแน่วแน่ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงมุ่งมั่นให้คนไทยร่วมกันรักษาทะเลไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งการดำเนินงานจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงได้ดำเนินการอนุรักษ์ทะเลไทยในพื้นที่อุทยานทางทะเล 26 แห่งทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ด้วยการลาดตระเวน ติดตามสัตว์ทะเลหายาก จัดการขยะทะเล และรณรงค์ลดการใช้พลาสติก การส่งเสริมการวิจัย การมีส่วนร่วมของชุมชน และการสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อระบบนิเวศและร่วมกันดูแลทรัพยากรของชาติให้ยั่งยืน

ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งคือ สมบัติอันล้ำค่าที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางธรรมชาติ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของประชาชน การอนุรักษ์จะช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ลดความเสี่ยงของการสูญพันธุ์สัตว์ทะเลหายาก และปกป้องชายฝั่งจากภัยธรรมชาติ ทะเลไทยเป็นสมบัติของทุกคน การอนุรักษ์จึงไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมของคนไทยทุกคน

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดการประชุมทำความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของชุมชนชายฝั่งและอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล (อสทล.) ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ครั้งที่ 3 ณ โรงเรียนประจวบวิทยาลัย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีนายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายเผด็จ ลายทอง รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) นายกิตติพงศ์ สุขภาคกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐ และเครือข่ายชุมชนชายฝั่งจาก 3 อำเภอ ได้แก่ สามร้อยยอด กุยบุรี และเมืองประจวบคีรีขันธ์ เด็กและเยาวชนจากโรงเรียนประจวบวิทยาลัย เข้าร่วมกว่า 200 คน

ดร.เฉลิมชัย ได้มอบเข็ม “รักษ์ทะเลยิ่งชีพ” ให้แก่ผู้ที่มีผลงานดีเด่นด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมทั้งมอบเงินอุดหนุนและอุปกรณ์จัดเก็บขยะให้แก่ตัวแทนชุมชนชายฝั่งที่เข้าร่วมโครงการกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) รวมถึงมอบบัตรประจำตัวแก่ อสทล. ที่ผ่านการอบรมและร่วมปฏิบัติงานกับ ทช. อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมพลังของอาสาสมัครและเครือข่ายชุมชนที่อุทิศตนในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่หวังผลตอบแทน โดยเน้นย้ำว่าการอนุรักษ์ต้องควบคู่ไปกับการพัฒนา ซึ่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ไม่สามารถทำได้โดยลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ผู้นำท้องถิ่น ชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กและเยาวชน ที่ต้องได้รับการปลูกฝังให้มีจิตสำนึกรักธรรมชาติ เพื่อส่งต่อทรัพยากรอันมีค่านี้สู่ลูกหลานในอนาคต

จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีชุมชนชายฝั่งที่จดทะเบียนกับ ทช. แล้ว 17 กลุ่ม และมีอาสาสมัครพิทักษ์ทะเลกว่า 954 คน ที่ร่วมภารกิจดูแลทะเลไทยอย่างแข็งขัน ถือเป็นกำลังสำคัญในการรักษาทรัพยากรทางทะเลของประเทศให้คงอยู่อย่างยั่งยืน

ส่วนปัญหาขยะอาหาร (Food Waste) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงร้อยละ 30–40 ต่อปี ซึ่งเป็นภัยเงียบที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง จึงขอความร่วมมือจากประชาชนร่วมบริโภคอาหารอย่างพอเพียง
ลดของเสียจากอาหาร ช่วยลดภาระขยะ และประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนไปพร้อมกัน

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ เพื่อติดตามความคืบหน้าและทดสอบระบบบริหารจัดการนักท่องเที่ยวผ่านระบบ E-Ticket พร้อมให้ขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ โดยมีคณะผู้บริหารในสังกัดกระทรวงฯ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และผู้บริหารในพื้นที่ให้การต้อนรับ

ดร.เฉลิมชัย เน้นย้ำว่า การนำระบบ E-Ticket มาใช้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการยกระดับการจัดการอุทยานแห่งชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาเงินรั่วไหล และการสวมสิทธิ์เข้าเที่ยวโดยไม่ชอบ “E-Ticket
จึงไม่ใช่แค่ระบบจัดเก็บรายได้ แต่คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอย่างโปร่งใสและยั่งยืน โดยรายได้ที่จัดเก็บได้จะถูกนำกลับมาพัฒนาด้านสวัสดิการเจ้าหน้าที่ การบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าหมายดำเนินการนำร่องระบบ E-Ticket ให้ครบใน 6 อุทยานแห่งชาติฝั่งอันดามัน ได้แก่
อุทยานฯ อ่าวพังงา, อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี, อุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน, อุทยานฯ หมู่เกาะลันตา, อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ และ อุทยานฯ ธารโบกขรณี โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2568 และภายในปี 2572 จะขยายผลให้ครอบคลุมอุทยานแห่งชาติทั้งหมด 156 แห่งทั่วประเทศ

สำหรับระบบ E-ticket ที่ผ่านมากรมอุทยานฯ ได้เคยทดลองใช้ระบบออนไลน์ในการจองคิวเข้าอุทยานแห่งชาติบางพื้นที่มาแล้ว ในช่วงโควิด-19 แต่เนื่องจากมีการใช้ไม่ครอบคลุมอุทยานแห่งชาติทั้งหมดที่มีอยู่ 156 แห่ง จึงเป็นเหมือนการทดลองใช้ ไม่มีการพัฒนาต่อยอดและใช้งานอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้กรมอุทยานฯ ได้พัฒนาระบบ E-ticket มาใช้งานให้ครอบคลุมอุทยานแห่งชาติทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากประโยชน์ในการจัดเก็บรายได้ที่คาดว่าจะเป็นไปตามจำนวนจริงกับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เข้ามาแล้ว ยังจะทำให้รู้ถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่แท้จริงที่เข้ามาใช้บริการอุทยานแห่งชาติแต่ละแห่ง ที่จะทำให้สามารถประเมินศักยภาพการรองรับและการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละช่วง เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงระบบ E-ticket ยังเป็นระบบช่วยอำนวยความสะดวกการจองเข้าใช้บริการต่างๆ ที่มีภายในอุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งให้กับนักท่องเที่ยวได้อีกด้วย

จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวเลือกซื้อตั๋วเข้าชมผ่านระบบ E-Ticket ได้ทั้งทาง Mobile Application และเว็บไซต์ พร้อมทั้งสามารถแจ้งเบาะแสการกระทำผิด หรือการสวมสิทธิเข้าเที่ยวอุทยานฯ ได้ที่สายด่วน 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง