นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้ขับเคลื่อนงานด้านคนพิการ โดยส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพคนพิการให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้วยการมีอาชีพ มีรายได้ เพื่อลดภาระการดูแลในครอบครัว โดยคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการสามารถ“กู้ยืมเงินกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อเป็นทุนในการประกอบอาชีพหรือขยายกิจการ” กองทุนและส่งเสริมความเสมอภาคคนพิการ (กทพ.) เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเหลือคนพิการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยไม่มีดอกเบี้ย และผ่อนชำระคืนในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งการกู้ยืมเงินกองทุนฯ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- การกู้รายบุคคล รายละไม่เกิน 60,000 – 120,000 บาท
- การกู้รายกลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน 1 ล้านบาท
จากฐานข้อมูล พก. กระทรวง พม. พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีคนพิการที่จดทะเบียน จำนวน 2.2 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 3.39 ของประชากรไทยทั้งหมด (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) โดยมีคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการใช้บริการกู้ยืมเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพหรือขยายกิจการทั่วประเทศ ประมาณ 3 แสนราย มีวงเงินกู้ยืมประมาณ 11 ล้านบาทเศษ (ข้อมูล ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2568) ซึ่งผู้กู้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม รองลงมาคือค้าขาย (ข้อมูลจากระบบงานกองทุนฯ ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2568)
กองทุนฯ ได้มีการพัฒนานวัตกรรมระบบบริการดิจิทัลสำหรับคนพิการในการบริหารจัดการเงินกู้ยืมกองทุนฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “กู้ยืมเงินคนพิการ หรือ DepFund” เพื่อให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ สามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐได้อย่างสะดวก รวดเร็ว รวมถึงการกู้ยืมเงินกองทุนฯ โดยแอปพลิเคชัน “DepFund”ที่รองรับทั้งระบบปฏิบัติการ IOS และ Android ด้วยการเข้าใช้งานผ่าน DIGITAL ID โดยสามารถตรวจสอบผลการอนุมัติการกู้ยืมเงิน ยอดคงเหลือ และประวัติการชำระเงิน อีกทั้งยังสามารถชำระหนี้ที่กู้ยืมผ่าน QR Code
- หากคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ ที่สนใจกู้ยืมเงินเพื่อเป็นทุนสำหรับประกอบอาชีพหรือขยายกิจการ สามารถยื่นคำร้องได้ทางเว็บไซต์ https://efund.dep.go.th/
- สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองทุนส่งเสริมความเสมอภาคคนพิการ และศูนย์บริการ
คนพิการกรุงเทพมหานคร สังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ศูนย์บริการคนพิการจังหวัด สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) จัดแคมเปญพิเศษ “ฉลองครึ่งปีทองกับการเคหะแห่งชาติ 2568” เพื่อขับเคลื่อนนโยบายในการสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมตามแผนงานสำคัญ 9 พันธกิจ ด้านการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน และเพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย เพิ่มโอกาสให้ *คนกลุ่มเปราะบาง(*กลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ ต่างๆ หรือมีความด้อยโอกาสทางสังคม เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย ผู้ไร้ที่พึ่งและผู้ด้อยโอกาสอื่นๆ) และประชาชนทั่วไปมีบ้านเป็นของตนเอง
สำหรับแคมเปญขายโครงการทั่วประเทศในครั้งนี้ จะเปิดให้ประชาชนเข้าจองและทำสัญญา ระหว่างวันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2568 รวม 10 วันเต็ม ทางการเคหะแห่งชาติได้เตรียมที่อยู่อาศัยรองรับความต้องการของกลุ่มเปราะบาง และประชาชนทั่วไปหลายโครงการทั่วประเทศ ถือเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการสร้างโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยให้กับพี่น้องกลุ่มเปราะบาง และประชาชนทุกกลุ่มรายได้ ยึดหลักการ “ทุกคนมีบ้านอยู่อาศัยอย่างมั่นคงและยั่งยืน” ภายใต้แคมเปญ ฉลองครึ่งปีทอง 2568 ประกอบด้วย
1. อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% ในปีแรกทุกโครงการ อาทิ เอื้ออาทร เคหะชุมชน โครงการเชิงสังคมสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยและอยู่ในภาวะเปราะบาง และโครงการเชิงพาณิชย์สำหรับธุรกิจเอกชน
2. ส่วนลดราคาขายสูงสุด 5 – 20% ราคาขายเริ่มต้น 250,000 – 390,000 บาทต่อหน่วย
3. อาคารชุดทุกโครงการได้รับโปรโมชันติดตั้งมุ้งลวดและเหล็กดัดฟรีมูลค่า 10,000 – 15,000 บาทต่อหน่วย ได้แก่ ขนาดพื้นที่ 33 ตารางเมตร มูลค่า 15,000 บาทต่อหน่วย ขนาดพื้นที่ 24 ตารางเมตร มูลค่า 12,000 บาทต่อหน่วย ส่วนโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนมิตรไมตรีได้มูลค่า 10,000 บาทต่อหน่วย
4. วางเงินจองขั้นต่ำสำหรับโครงการเชิงสังคม จอง 1,000 บาท, โครงการเชิงพาณิชย์ จอง 3,000 บาท
5. ทำสัญญาเช่าซื้อโดยตรงกับทุกโครงการ อาทิ ลูกค้าใหม่ทำสัญญาเช่าซื้อ วอล์คอินได้ทันที, ลูกค้าที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายก่อนวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ให้ทำสัญญาเช่าซื้อ โดยได้รับส่วนลดตามสัญญาจะซื้อจะขาย, ลูกค้าที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายช่วงวันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2568 สามารถมาทำสัญญาเช่าซื้อ
หลังจากนี้ได้ดอกเบี้ยปีแรก 0%
สำหรับแคมเปญพิเศษของ กคช. ในครั้งนี้ กระทรวง พม. ต้องการช่วยให้ประชาชนสามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาที่เข้าถึงได้ มีส่วนช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศผ่านการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคการก่อสร้าง กระจายรายได้ ส่งเสริมเศรษฐกิจรากฐาน สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน โดย กระทรวง พม. ต้องการเพิ่มโอกาสให้กับพี่น้องกลุ่มเปราะบาง ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย และอยู่ในภาวะเปราะบาง สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ สอดคล้องกับรายได้และไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่การเคหะแห่งชาติ โทร. สายด่วน 1615 หรือทางเว็บไซต์ www.nha.co.th
นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวง พม. พร้อมคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ ณ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) เทศบาลตำบลหัวตะพาน อำเภอหัวตะพาน เปิดกิจกรรม Open House พื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ โรงเรียนผู้สูงอายุ และศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุต้นแบบ จังหวัดอำนาจเจริญ โดยมี พม. จังหวัดอำนาจเจริญ พร้อมหน่วยงานทีม พม. หนึ่งเดียว จังหวัดอำนาจเจริญและจังหวัดใกล้เคียง และผู้แทนเครือข่ายด้านสังคมในพื้นที่ เข้าร่วมงานพร้อมเป็นประธานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชนที่มีผลงานดีเด่นในการส่งเสริมความเข้มแข็งของครอบครัวให้แก่ศูนย์พัฒนาครอบครัว และมอบงบประมาณสำหรับการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ และมอบเงินสงเคราะห์สำหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง
จากนั้น ร่วมรับฟังรายงานสถานการณ์ทางสังคมและข้อเสนอการขับเคลื่อนงานของหน่วยงาน พม. กลุ่มจังหวัด เขตตรวจราชการที่ 13 ได้แก่ จังหวัดบึงกาฬ กาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร สกลนคร อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ พร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานตามภารกิจ พม. ในระดับพื้นที่ ในเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อติดตามผลการขับเคลื่อนเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพกลุ่มเปราะบาง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสถานการณ์ฉุกเฉินกลุ่มจังหวัด ครั้งที่ 4
นายอนุกูล กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตโครงสร้างประชากร เนื่องจากเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ อัตราการเกิดลดลง และวัยแรงงานต้องรับภาระพึ่งพิงมากขึ้น โดยข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 พบว่า ปัจจุบันประชากรไทยมีจำนวน 65,904,296 คน โดยมีผู้สูงอายุ จำนวน 13,869,223 คน คิดเป็นร้อยละ 21.04 และคาดการณ์ว่าในปี 2576 ประชากรผู้สูงอายุจะมีเพิ่มขึ้นถึง 18.38 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 28 จะส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นสังคม
สูงวัยระดับสุดยอด
กระทรวง พม. ได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างโอกาสและการคุ้มครองทางสังคมอย่างเท่าเทียม เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายมีความมั่นคงในชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้แก่ นโยบาย “5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร”และพันธกิจสำคัญ (Flagship Projects) 9 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาเด็กปฐมวัย, การดูแลผู้สูงอายุ, การสร้างงานสร้างรายได้, การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ, การสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว,การส่งเสริมการศึกษา, การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน, การสร้างความร่วมมือทางสังคม และการขับเคลื่อนพันธกิจระหว่างประเทศ รวมถึงกลไกการทำงานเชิงรุก โดยศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) และศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) เพื่อเป็นศูนย์กลางการช่วยเหลือ ดูแล และคุ้มครองสวัสดิภาพกลุ่มเปราะบางจากปัญหาทางสังคมและภัยพิบัติ นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานทีม พม.หนึ่งเดียวที่ทำงานบูรณการภายในกระทรวง พม. และเสริมสร้างเครือข่ายและหุ้นส่วนการพัฒนาสังคมในพื้นที่
สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ กระทรวง พม. ได้ขับเคลื่อนงานพัฒนาผู้สูงอายุในทุกมิติแบบองค์รวม โดยศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) รับผิดชอบดูแลเรื่องการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุในชุมชน โดยใช้ชุมชนเป็นฐานและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงาน ภายใต้แนวคิด “ร่วมแรง ร่วมใจ ผู้สูงวัยกายใจเบิกบาน” ขณะนี้ ศพอส. มีจำนวน 2,223 แห่งทั่วประเทศ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจำนวน 808 แห่ง และจังหวัดอำนาจเจริญ มีจำนวน 11 แห่ง ในขณะที่โรงเรียนผู้สูงอายุ มีจำนวน 3,377 แห่งทั่วประเทศ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีจำนวน 1,460 แห่ง และจังหวัดอำนาจเจริญ มีจำนวน 92 แห่ง และยังมีผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นอาสาสมัครที่ผ่านการอบรม 240 ชั่วโมง จำนวน 342 คนทั่วประเทศ
นายอนุกูล กล่าวว่า กระทรวง พม. ต้องขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในพื้นที่ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ เทศบาลตำบลหัวตะพาน และโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลหัวตะพาน ซึ่งทำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของชุมชนท้องถิ่นในการสร้างพื้นที่แหล่งการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ การถ่ายทอดภูมิปัญญาและการพัฒนาอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุและเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย