รัฐบาลประกาศยกระดับแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต-น้ำมัน-ส่งออกสินค้าไปกัมพูชา 3 เดือน ต้องเห็นผล

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอก ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พร้อมด้วยผู้บริหาร ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม  

นายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนการประชุมว่า ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตประชาชน รวมไปถึงเศรษฐกิจ สังคม และความเชื่อมั่นของประเทศไทยในระดับนานาชาติ ซึ่งจากการที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการดำเนินมาตรการอย่างเด็ดขาด ในการปราบปรามการกระทำผิดทางอาชญากรรมทางเทคโนโลยี อาทิ อาชญากรรมทางไซเบอร์ และการฉ้อโกงทางออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซนเตอร์มาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันตัวเลขของคดีการฟ้องร้องในเรื่องของการถูกหลอกจากแก๊งคอลเซนเตอร์มีจำนวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด 

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมาหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกหน่วยงาน ตลอดจนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลอย่างเข้มข้นทุกมิติ และทราบจากรายงานว่าปัจจุบันมีข้อมูลตัวเลขสถิติอาชญากรรมออนไลน์ลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณชายแดน ซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์เป็นอย่างมาก ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ จะดำเนินมาตรการในการปราบอาชญากรรมให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากการที่แก๊งอาชญากรรมไซเบอร์ได้มีการสูญเสียรายได้มากเท่าไร หมายความได้ว่าประชาชนมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินมาตรการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์อย่างเต็มที่

ความตั้งใจของรัฐบาล ต้องการทำให้ประเทศไทยและประชาชนอยู่ในบ้านที่อบอุ่น อยู่ในประเทศที่ปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก โดยอยากให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับเป็นหูเป็นตาให้กับประชาชนของเราทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยอีกครั้งจากตัวเลขทางอาชญากรรมออนไลน์ที่ลดลง โดยจากตัวเลขที่มีแนวโน้มลดลงก็อยากให้มีการลดลงมากยิ่งขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ทั้งนี้ ขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมกับรัฐบาลเป็นอย่างมาก ให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการตามมาตรการที่วางไว้อย่างเคร่งครัดและรัดกุม โดยจะต้องทำงานอย่างบูรณาการ เป็น “ทีมไทยแลนด์” และให้นำมาตรการ Seal Stop Safe มาปรับใช้ให้สอดรับกับมาตรการการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานของทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองและผู้เกี่ยวข้องอีกหลายส่วน

ภายหลังการเป็นประธานการประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ นายกรัฐมนตรี แถลงว่า รัฐบาลประกาศยกระดับการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยที่ไทยอาสาเป็นเจ้าภาพในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในการหาความร่วมมือกับนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน รวมไปถึงความเชื่อมั่นของประเทศไทยในระดับนานาชาติ ซึ่งจากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ที่ได้มีข้อมูลว่า กัมพูชา ถือเป็นแหล่งศูนย์รวมอาชญากรรมระดับโลก เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ มีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาทต่อปี

ประเทศไทย โดยหน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วยงาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DE กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ เร่งดำเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาดตามแนวชายแดน โดยได้กำหนดมาตรการ ดังนี้

ด้านความมั่นคง จะเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการเข้า-ออก จุดผ่านแดน ทั้งการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดน 7 จังหวัด ห้ามรถยนต์ และบุคคล เข้า-ออก ยกเว้นในกรณีมีเหตุจำเป็นชัดเจน เช่น นักเรียน นักศึกษา และคนป่วย การจับจ่ายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต นอกจากนี้ ห้ามให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้าไปเล่นการพนันในพื้นที่ชายแดน รวมถึงการเข้มงวดการเดินทางโดยเครื่องบินไปยังเสียมราฐ เพื่อไปเล่นการพนัน

ด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กระทรวง DE โดยศูนย์ AOC จะดำเนินการตรวจสอบบัญชีม้า และเส้นทางการเงิน ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติอย่างเข้มงวด รวมถึงการระงับการบริการอินเทอร์เน็ต และประตูอินเทอร์เน็ตใต้น้ำ ที่ไปยังหน่วยงานทางการทหาร และความมั่นคงของรัฐบาลกัมพูชาทั้งหมด นอกจากนี้ จะต้องร่วมมือกับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในการสร้างมาตรการคว่ำบาตรผู้ที่เป็นอาชญากรข้ามชาติ ที่พบว่ามีการฟอกเงิน รวมถึงการยึด หรืออายัดทรัพย์สินที่โยกย้ายไปต่างประเทศด้วย

ด้านการส่งออกไฟฟ้า น้ำมัน และสินค้าผ่านชายแดน ต้องระงับการส่งออกสินค้าที่เกื้อหนุนต่อกิจกรรมของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิจารณาถึงความเหมาะสมในการระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังกัมพูชา ที่จะนำเอาไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย

ด้านการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร และ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน โดยขอความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนในการรับซื้อสินค้า

ด้านการประสานความร่วมมือกับนานาชาติ กระทรวงการต่างประเทศ จะประสานกับประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศ ในการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยให้ไทยเป็นศูนย์กลางปฏิบัติการร่วมในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ได้กำหนดให้ทุกภาคส่วนกำหนด timeline และตั้ง KPI ในการดำเนินมาตรการอย่างชัดเจน โดยขอให้ภายใน 3 เดือน สถิติการแจ้งความของคนไทย ความเสียหาย การยึดทรัพย์ และการดำเนินคดีเครือข่าย จะต้องเห็นผลลดลงอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลขอย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหานี้ที่จะต้องเร่งแก้ไขให้หมดไปโดยเร็ว และให้มีการสื่อสารที่ถูกต้องกับประชาชน

สำหรับกรณีธุรกิจไทยในกัมพูชาจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การทำธุรกิจในกัมพูชาเราสนับสนุนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านการทูต หรือด้านอื่นๆ ไม่ได้มีความรุนแรงเกิดขึ้น อย่างที่ผ่านมา กัมพูชาประกาศงดซื้อน้ำมัน และก๊าซจากไทย เป็นเรื่องของชายแดนที่เกิดขึ้น แต่หากลุกลามมากยิ่งขึ้น ปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้นำกัมพูชาจะต้องกำหนดราคาน้ำมัน โดยหากไม่รับจากของไทยคงจะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น ไม่แน่ใจว่าทางกัมพูชาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งอาจเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวกัมพูชา และหากมีคนไทยอยู่ในพื้นที่ด้วยก็จะได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ได้มีการสำรวจธุรกิจอื่นที่ลงทุนในกัมพูชาหมดแล้ว โดยตามฐานข้อมูลที่แจ้งมานั้นธุรกิจไทยในกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นประเภทโรงแรม และจะอยู่ในตัวเมือง ส่วนผลกระทบเรื่องเกษตรกรและ SMEs ต่างๆ ทางภาครัฐ และภาคเอกชนพร้อมที่จะดูแล และซื้อสินค้าของประชาชน

เรื่องความมั่นคงตามแนวชายแดน มีการมอบอำนาจในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว ให้พิจารณาจากหน้างานว่าหากเกิดอะไรขึ้นให้อำนาจทหารช่วยดู ว่าควรจะปิด หรือเปิดด่านอย่างไร

สำหรับมูลค่าความเสียหายที่ไทยเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชานั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า โดยรวมประมาณ 30,000 ล้านบาท และโดยเฉลี่ยของประเทศไทยเสียหายวันละประมาณ 80 ล้านบาท

ทางด้าน พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า นโยบายที่ดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรี มอบหมายคือการตั้งศูนย์วอร์รูมในการประเมินสถานการณ์ในทุกวัน โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกันทำงาน ขณะเดียวกันก็มีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั่วโลกมาร่วมทำงานวอร์รูมนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจอาเซียน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการช่วยเหลือปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชา เพราะถือเป็นแหล่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน และมีการเคลื่อนย้ายจากเมียวดีประเทศเมียนมามาที่กัมพูชา นอกจากนี้ จะมีการขยายผลสืบสวนบุคคลที่อยู่ในกัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับการให้ที่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทางด้านการเงินก็จะมีการสืบสวน และขยายผลเพื่อขอหมายจับต่อไป

สำหรับความร่วมมือจากองค์กรนานาชาติ จะมีความเข้มข้นขนาดไหน จเรตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ตนเองเป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime  : UNODC) มีการประชุมอย่างต่อเนื่องเป็นไปในทิศทางที่ดี ขณะที่องค์กรตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (INTERPOL) เราเป็นสมาชิกเช่นเดียวกับกัมพูชาก็มีกลไกในการขับเคลื่อนการช่วยเหลือในการปฏิบัติการปราบปรามต่างๆ และจะมีการขยายผลปราบปรามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด

ส่วนของตำรวจอาเซียน จะมีการประชุมช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งประเด็นหลักที่มีการพูดถึงคือเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน

ด้าน พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ระบุว่า ตามมาตรการ Seal Stop Safe ต้องลาดตระเวนตามจุดช่องทางธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาชายแดนซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่ การจัดการในการป้องกันประเทศจะต้องมีกำลังที่สอดคล้องกับปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขอให้บูรณาการการทำงานตามแนวชายแดน ซึ่งทุกวันนี้กองกำลังป้องกันประเทศมีการบูรณาการในหน่วยความมั่นคง ทั้งทหารและตำรวจตามแนวชายแดน ส่วนที่เป็นของข้าราชการพลเรือนจะมีศูนย์สั่งการจังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ปฏิบัติราชการ เพราะฉะนั้น 2 เรื่องนี้จะต้องส่งผ่านข้อมูลกันทุกวันในการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน

ทั้งนี้ ยังมีการสนับสนุนแนวทาง ของคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission: JBC) เพื่อช่วยกันในการปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นปัญหาของโลก ส่วนจะต้องมีการปรับอะไรเป็นกรณีพิเศษหรือไม่ พล.อ.ทรงวิทย์ กล่าวว่า ต้องหาว่าช่องทางธรรมชาติมีจุดใดบ้าง หากดูจากข่าว 2 – 3 วันที่ผ่านมามีการจับกุมผู้ที่ข้ามทางช่องทางธรรมชาติได้มากขึ้น และมีการวางสิ่งกีดขวางมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องสนับสนุนซึ่งกันและกันระหว่างเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย และเจ้าหน้าที่ทหารตามแนวชายแดน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง