ครม.อนุมัติ 1.15 แสนล้านบาท กระตุ้น GDP ไทยเพิ่มขึ้น 0.4%

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 50 หน่วยรับงบประมาณ จำนวน 481 โครงการ (8,939 รายการ) ภายในกรอบวงเงิน 115,375 ล้านบาท เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ได้ผลในระยะยาว นอกจากจะช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงผ่านการสร้างงานแล้ว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศไทยในในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวนด้วย  สืบเนื่องจากสงครามการค้าและการประกาศนโยบาย Reciprocal Tarift ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้รายได้ของประชาชนลดลง โดยเฉพาะภาคการส่งออก

ซึ่งแนวทางจัดสรรงบประมาณ หลักเกณฑ์การกลั่นกรองการใช้งบประมาณให้รัดกุมและคุ้มค่าภายใต้กรอบ 1.57 แสนล้านบาท ใช้เกณฑ์พิจารณามี 5 ข้อคือ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรี ให้ความเห็นชอบ เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างเคร่งครัด ต้องไม่เข้าข่าย Negative List 19 ข้อตามหลักเกณฑ์ของ ครม. เป็นโครงการที่กระจายเม็ดเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจ สอดคล้องกับแผนพัฒนาและมีความคุ้มค่าทางการเงิน และเป็นโครงการที่มีความสำคัญสูง มีการสร้างงาน สนับสนุนการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เร่งด่วน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีคำขอใช้งบประมาณอยู่ที่ 3.42 แสนล้านบาท ผ่านการพิจารณาแล้ว 1.15 แสนล้านบาท ส่วนเม็ดเงินที่เหลืออีกราว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่จำต้องใช้ให้งบประมาณที่มีจนหมด โดยจะมีการพิจารณาการใช้งบประมาณก้อนนี้ต่อไป แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข ต้องมีการลงนามการใช้เงินภายใน 30 กันยายนปีนี้ และต้องใช้เงินภายใน 30 กันยายน ปี 69

ส่วนการรองรับผลกระทบสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ปัญหาความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ยังมีงบประมาณส่วนอื่นที่สามารถนำมาใช้ได้

นายพิชัย ระบุว่า วงเงินที่ผ่านการพิจารณาจะถูกนำไปใช้ใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 85,000 ล้านบาท เช่น ด้านการบริหารจัดการน้ำ และด้านคมนาคม ปรับปรุงพัฒนาถนนเชื่อมโยงเมืองรองแหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่การผลิต ด้านการท่องเที่ยว 10,053 ล้านบาท เช่น กระตุ้นการใช้จ่ายและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานสถานที่ท่องเที่ยว ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ 11,122 ล้านบาท เช่น ลดผลกระทบแรงงาน และสนับสนุนด้านดิจิทัลและเกษตร ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ 9,201 ล้านบาท เช่น การดูแลกองทุนหมู่บ้านและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน

ส่วนประโยชน์ที่ประชาชน อาทิ จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น มีน้ำสะอาดใช้ ลดภาระค่าใช้จ่าย ถนนดี เดินทางสะดวกปลอดภัยขึ้น จุดเสี่ยงลดลง  ส่วนเกษตรกร จะช่วยลดผลกระทบเรื่องภัยแล้งและน้ำท่วม ทำให้ผลผลิตมากขึ้นรายได้มากขึ้น ขนส่งผลผลิตสะดวกเข้าถึงตลาดได้ทันฤดูกาลและมีการเชื่อมโยงภาคการเกษตรภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ นักท่องเที่ยวจะเดินทางเที่ยวง่ายและปลอดภัย ช่วยดึงดูดการท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ ด้านธุรกิจ SMS อุตสาหกรรมแรงงาน จะมีน้ำสะอาดพร้อมใช้ ดึงดูดการลงทุนไฮเทค ลดผลกระทบจากภัยน้ำท่วม เชื่อมโยงโลจิสติกส์ลดต้นทุนค่าขนส่ง ลูกค้าเข้าถึงได้ กำไรเพิ่มและรักษาการจ้างงานในกลุ่มธุรกิจเสี่ยง  ส่วนชุมชนและนักเรียน จะมีกองทุนพัฒนาศักยภาพชุมชน สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนฐานรากและเติมทุนด้านการศึกษาในกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 

สำหรับผลต่อเศรษฐกิจจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ สรุปได้ 6 ประการคือ เม็ดเงินที่ผ่านการพิจารณากระจายไปยังภูมิภาคที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ เม็ดเงินกระจายไปทั่วประเทศทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอ จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ (ยากจน) ได้รับวงเงินสูงกว่าโดยเปรียบเทียบ จังหวัดที่มีขนาดของเศรษฐกิจเล็ก จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงกว่าจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่  เม็ดเงินที่ลงทุนสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ก่อให้เกิดผลเชื่อมโยงไปยังสาขาเศรษฐกิจต้นน้ำและปลายน้ำ เม็ดเงินที่ลงทุนสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 7.4 ล้านคน

ทั้งนี้ เม็ดเงิน 1.15 แสนล้านบาท จะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ส่วนจะมีผลต่อ GDP ไทยในปี 68 มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการเบิกจ่ายงบประมาณ

ส่วนการช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า แม้ว่าจะใช้เงินในส่วนนี้เพียง 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยที่สุดของงบประมาณทั้งหมดก็ตาม แต่กระทรวงการคลังได้เตรียมวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรน หรือซอฟต์โลนไว้อีก 1-2 แสนล้านบาท สำหรับช่วยเหลือผู้ส่งออกโดยเฉพาะ ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังได้หารือกับธนาคารรัฐ เพื่อเตรียมวงเงินไว้เรียบร้อยแล้ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง