ครม. ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 4 ด้าน “รอบคอบ-โปร่งใส-คุ้มค่า”

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการและผลการพิจารณากลั่นกรองโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท และการมอบหมายคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ และเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดังกล่าวที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 50 หน่วยรับงบประมาณ 481 โครงการ 8,939 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 115,375.27 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ

ซึ่งมีที่มาจากเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการคลังเป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นผู้ช่วยเลขานุการ โดยมีหน้าที่และอำนาจที่สำคัญ เช่น กำหนดนโยบายโครงการ วัตถุประสงค์โครงการ แนวทางการดำเนินโครงการ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ และแหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี จากนั้นวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ  ต่อมาวันที่ 18 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการฯ ประชุมครั้งที่ 3/2568 ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ตามหลักเกณฑ์การจัดสรรฯ และมีความสำคัญสูง ที่จะดำเนินโครงการโดย 50 หน่วยรับงบประมาณ จำนวน 481 โครงการ 8,939 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 115,375.2715 ล้านบาท และวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ครม. ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดังกล่าว เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ได้ผลในระยะยาว นอกจากจะช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงผ่านการสร้างงานแล้ว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศไทยในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวน โดยมีรายละเอียดตามที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงข่าว ดังนี้

1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ข้อเสนอโครงการฯ ผ่านการพิจารณา 34 โครงการ 7,986 รายการ วงเงินรวม 85,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น

1) ด้านน้ำ ข้อเสนอโครงการฯ ผ่านการพิจารณา 8 โครงการ 2,881 รายการ วงเงิน 39,136 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ (1) การพัฒนาน้ำอุปโภคบริโภค (2) การปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำเดิมและพัฒนาระบบกระจายน้ำ (3) พัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝน (4) พัฒนาพื้นที่หน่วงน้ำและการป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมือง โดยคาดว่าจะสามารถป้องกันอุทกภัยในช่วงฤดูฝน สร้างพื้นที่กักเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับฤดูแล้ง และป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน พื้นที่ได้รับการป้องกันน้ำท่วมหรือการชะล้างพังทลายของดิน 191,167 ไร่ และสามารถกระจายน้ำไปยังชุมชนและพื้นที่ต่าง ๆ ผลิตน้ำเพื่อสนับสนุนภาคเกษตรในพื้นที่ทั่วประเทศ พัฒนาและปรับปรุงระบบน้ำประปา ทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 192.22 ล้านลูกบาศก์เมตร ในภาพรวมมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 4,791,974 ไร่ ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 906,803 ครัวเรือน และสามารถสร้างการจ้างงานได้ 73,807 คนต่อเดือน  

2) ด้านคมนาคม ข้อเสนอโครงการฯ ผ่านการพิจารณา 26 โครงการ 5,105 รายการ วงเงิน 45,864 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ (1) ปรับปรุงและพัฒนาถนนเชื่อมเมืองรอง (2) เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง (3) พัฒนาโครงข่ายส่งเสริมพื้นที่เกษตรกรรม (4) ปรับปรุงจุดพักรถบรรทุกเพื่อให้บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย (5) แก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟและถนนเสมอระดับ (6) แก้ไขปัญหาจราจร พื้นที่คอขวด และพื้นที่ขาดความเชื่อมโยง โดยคาดว่าจะสามารถพัฒนาถนนในภาพรวมได้ 417 กิโลเมตร ซ่อมบำรุง ปรับปรุง และยกระดับเส้นทางได้ 1,689 แห่ง อำนวยความปลอดภัยได้ 3,604 แห่ง และสามารถสร้างการจ้างงานได้ 2.85 แสนคน

2. ด้านการท่องเที่ยว ข้อเสนอโครงการฯ ผ่านการพิจารณา 420 โครงการ 922 รายการ วงเงินรวม 10,053 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่ (1) ปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องน้ำ ห้องพัก สถานที่ ป้ายบอกทาง (2) พัฒนาระบบอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว (3) พัฒนาและยกระดับความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว อาทิ การติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ และ (4) กระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรอง โดยคาดว่าจะสนับสนุนให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 2,766,000 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 55,059 ล้านบาท และมีประชาชนได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงเส้นทางเพื่อการท่องเที่ยวประมาณ 7.6 ล้านคน

3. ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ* และดิจิทัล ข้อเสนอโครงการฯ ผ่านการพิจารณา 10 โครงการ วงเงินรวม 11,122 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการเกษตร ผ่านการพิจารณา 4 โครงการ วงเงิน 160 ล้านบาท ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6,000 บาทต่อไร่ต่อปี ช่วยให้สถาบันเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 320,000 บาทต่อปี (2) ด้านแรงงาน ผ่านการพิจารณา 1 โครงการ วงเงิน 10,000 ล้านบาท ช่วยบรรเทาผลกระทบให้แรงงานและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาก่อนเป็นลำดับแรก ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อให้สถานประกอบการกว่า 1,700 แห่ง ซึ่งสนับสนุนการจ้างงานประมาณ 1 แสนคน และ (3) ด้านดิจิทัล ผ่านการพิจารณา 5 โครงการ วงเงิน 962 ล้านบาท มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ภาคเกษตรกรรม และการให้บริการประชาชน กว่า 20,000 ราย

ผลิตภาพ* ประสิทธิภาพของการผลิตสินค้าหรือบริการ 

4. ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ ข้อเสนอโครงการฯ ผ่านการพิจารณา 17 โครงการ (21 รายการ) จำนวน 9,201 ล้านบาท แบ่งเป็น (1) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) วงเงิน 4,000 ล้านบาท (2) โครงการพัฒนาทุนมนุษย์ด้านการศึกษาเพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้กับประเทศ วงเงิน 3,641 ล้านบาท และ (3) โครงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ วงเงิน 1,560 ล้านบาท

การอนุมัติข้อเสนอโครงการฯ เป็นการอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเท่านั้น ในขั้นตอนการขอรับการจัดสรรและการเบิกจ่ายงบประมาณจะต้องมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคณะอนุกรรมการ กำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดำเนินการติดตามอย่างใกล้ชิด โดยให้หน่วยรับงบประมาณ ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแล ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รอบคอบ โปร่งใส เป็นธรรมและทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้งบประมาณถูกพับไป โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ

สำหรับผลต่อเศรษฐกิจจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ สรุปได้ 6 ประการ ดังนี้ 

1) เม็ดเงินที่ผ่านการพิจารณากระจายไปยังภูมิภาคที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ การกระจายวงเงินงบประมาณลงในพื้นที่ที่มีรายได้ต่อหัวต่ำในสัดส่วนที่สูงกว่าพื้นที่อื่น โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานคร และภาคกลาง ซึ่งมีรายได้ต่อหัวสูงจะมีการกระจายวงเงินงบประมาณในสัดส่วนที่น้อยกว่า

2) เม็ดเงินกระจายไปทั่วประเทศทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอ การกระจายวงเงินงบประมาณมีความทั่วถึง ทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอทุกพื้นที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านน้ำและด้านคมนาคม ถือเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะกลางถึงระยะยาว

3) จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ (ยากจน) ได้รับวงเงินสูงกว่า โดยเปรียบเทียบการกระจายวงเงินงบประมาณให้ความสำคัญกับจังหวัดที่ยากจน โดยจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำหลายจังหวัด ได้รับวงเงินที่ผ่านการพิจารณามากกว่าจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวสูงกว่า

4) จังหวัดที่มีขนาดของเศรษฐกิจเล็ก จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงกว่าจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ การกระจายวงเงินงบประมาณ พบว่า จังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กได้รับวงเงินที่ผ่านการพิจารณามากกว่าจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า ทำให้เกิดผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมากกว่า

5) เม็ดเงินที่ลงทุนสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ก่อให้เกิดผลเชื่อมโยงไปยังสาขาเศรษฐกิจต้นน้ำและปลายน้ำ (Forward และ Backward Linkage) เช่น สาขาก่อสร้าง ค้าปลีกค้าส่ง การเงิน และบริการอื่น ๆ เป็นต้น

6) เม็ดเงินที่ลงทุนสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 7.4 ล้านคน วงเงินการจ้างงาน 34,008 ล้านบาท คิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ของเม็ดเงินรวมที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 115,375 ล้านบาท

นายพิชัย กล่าวว่า แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการเร่งรัดการใช้จ่ายผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงาน กระจายรายได้ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยเม็ดเงิน 115,375 ล้านบาท จะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในทุนมนุษย์และการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้เอื้อต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว ทั้งนี้ในระยะต่อไป คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และจะพิจารณากำหนดนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่อไป

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกโครงการที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองมาแล้วตามกรอบวงเงิน 1.15 แสนล้านบาท เป็นโครงการที่มีความพร้อม เพราะมีแผนการดำเนินงานชัดเจนและสามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ทันที ตามกรอบงบกลางปี 2568 ต้องมีการลงนามในสัญญาเพื่อก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 และจะต้องใช้ภายในระยะเวลา 1 ปี ถึง 30 กันยายน 2569 สำหรับงบประมาณในส่วนเหลือประมาณ 4.1 หมื่นล้านบาท จากกรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท จะมีการพิจารณาเพิ่มเติมในรอบที่ 2 หรือ 3 ต่อไป โดยย้ำว่าการใช้จ่ายงบประมาณต้องพิจารณาอย่างคุ้มค่าและรอบคอบที่สุด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง