หลังจากเกิดสุญญากาศมานานกับนโยบายกัญชาว่า จะไปในทิศทางใด หลังจากเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 รัฐบาลในขณะนั้น ได้ประกาศปลดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 แต่ยังไม่มีกฎหมายควบคุม ทำให้เกิดภาวะไร้การควบคุม มีร้านขายกัญชาแห่เปิดให้บริการเป็นดอกเห็ด ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยว ทั้งสถานบันเทิงยามค่ำคืนและแหล่งพักผ่อนตามริมชายหาด กลิ่นกัญชาลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณและกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่สั่งสมมาจนถึงปัจจุบัน
ภาวะไร้การควบคุม โดยเฉพาะการใช้กัญชาผิดวัตถุประสงค์ กำลังจะได้รับการแก้ไข เพราะล่าสุด “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ได้ออกประกาศปรับปรุงกฎหมายให้กัญชา (ส่วนช่อดอก) เป็นสมุนไพรควบคุมและให้ใช้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น ส่วนผู้ศึกษาวิจัย ส่งออก และจำหน่ายหรือแปรรูป จะต้องได้รับใบอนุญาต และจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้เท่านั้น และล่าสุดราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศฉบับดังกล่าวแล้ว และมีผลบังคับใช้ 26 มิ.ย.เป็นต้นไป และนั่นเท่ากับเป็นการประกาศว่า “กัญชา” จะไม่เสรีอีกต่อไป
นโยบายแบบ “กลับไปกลับมา” ของฝ่ายการเมืองถึงปมกัญชา สามารถมองออกได้เป็น “3 มิติ” หลักๆ คือ มิติทางด้านการเมือง มิติทางสาธารณสุขและมิติทางเศรษฐกิจ
“มิติทางด้านการเมือง” คงต้องย้อนไปเมื่อปี 2562 เมื่อ “พรรคภูมิใจไทย” ที่นำโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้ชูนโยบาย “กัญชาเสรี” ประกาศส่งเสริมปลูกกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจและอนุญาตให้แต่ละครอบครัว สามารถปลูกกัญชาได้ครอบครัวละ 6 ต้น รวมทั้งเร่งปลดล็อกกัญชา รวมถึงนิรโทษกรรม 90 วัน ให้แก่ผู้ครอบครองกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
ต่อมา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ถือเป็นวันที่พลิกประวัติศาสตร์ชาติไทย เมื่อรัฐบาลได้ประกาศปลดล็อกกัญชาและกัญชง ออกจากบัญชียาเสพติด ซึ่งขณะนั้น “อนุทิน ชาญวีรกูล” นั่งเก้าอี้ รมว.สาธารณสุข และควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้วย
แต่การปลดล็อกกัญชา ไม่ได้ราบรื่น เพราะยังมีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย รวมทั้งพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาล ที่พยายามดึงกัญชาให้กลับไปเป็นยาเสพติดประเภท 5 และให้ใช้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น แต่ด้วยที่เพื่อไทยและภูมิใจไทย เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ที่ยังมีความเกรงใจกัน ทำให้นโยบายกัญชา ทำได้แค่ “ห้ามใช้เชิงนันทนาการ” เท่านั้น
เมื่อนโยบายที่ไร้กฎหมายควบคุม การใช้กัญชาผิดวัตถุประสงค์จึงเกิดขึ้น และล่าสุดเมื่อ 23 มิถุนายน 2568 กระทรวงสาธารณสุข ที่นำโดย “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ได้ประกาศเรื่องสมุนไพรควบคุม (กัญชา) ปี 2568 ทำให้กัญชาไม่เสรีอีกต่อไปและกลับไปเป็นสมุนไพรควบคุม เพื่อทางการแพทย์เท่านั้น
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่พรรคภูมิใจไทยที่เคยผลักดันนโยบายกัญชาเสรี ได้ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อ 18 มิถุนายนที่ผ่านมาและทำให้หลายฝ่ายมองว่า นี่เป็นเกมการเมืองหรือไม่?
“มิติทางสาธารณสุข” การประกาศให้กัญชา กลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 และอยู่ในการควบคุม ถือว่าได้รับเสียงชื่นชมเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในวงการแพทย์
จากข้อมูลชมรมแพทย์ชนบท เผยว่า นโยบายกัญชาเสรีที่ปลดกัญชาจากการเป็นยาเสพติด ตั้งแต่ 9 มิถุนายน 2565 ได้ก่อให้เกิดปัญหามากมาย จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการเป็นพิษจากกัญชาเพิ่มขึ้น 6-7 เท่า, จำนวนผู้ป่วยเสพติดกัญชา เพิ่มขึ้น 2-5 เท่า,จำนวนผู้ป่วยโรคจิตจากการใช้กัญชา เพิ่มขึ้น 3-5 เท่า, จำนวนผู้ป่วยจากการใช้กัญชาในจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 22 เท่า และต้นทุนค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยจากการใช้กัญชา เพิ่มขึ้น 5 เท่า
ข้อมูลดังกล่าว สอดคล้องกับ “ป.ป.ส.” ซึ่งเป็นหน่วยงานหลัก ที่บังคับใช้กฎหมายยาเสพติด ที่ระบุว่า จากการปลดล็อกกัญชาและพืชกระท่อม ส่งผลให้มีผู้ใช้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
จากการศึกษาข้อมูลเมื่อปี 2562 ซึ่งขณะนั้น กัญชาและพืชกระท่อม ยังถูกจัดเป็นยาเสพติด พบว่า มีผู้เสพติดกัญชา ประมาณ 350,000 คน และผู้เสพติดพืชกระท่อม ประมาณ 400,000-500,000 คน
และต่อมาปี 2567 พบว่า มีผู้ใช้กัญชา มากกว่า 700,000 คน และมีผู้ใช้พืชกระท่อมมากถึง 1,300,000 คน สูงมากขึ้นกว่าเท่าตัว หลังจากที่พืชทั้ง 2 ชนิด สามารถซื้อ-ขายได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่ “มิติทางเศรษฐกิจ” แม้จะยังไม่มีเสียงสะท้อนที่ชัดเจน แต่ในมุมของ “ดร.แก้มหอม ณ ล้านช้าง” ผอ.สถาบันกัญชาศาสตร์นานาชาติ บอกว่า กรณีที่กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ไม่ส่งผลกระทบกับกลุ่มวิสาหกิจผู้ปลูกกัญชาที่ดำเนินการถูกต้อง
ส่วนคนที่ออกมาโวยวาย หรือไม่เห็นด้วยคือ “ร้านจำหน่ายกัญชาที่ไม่ได้ขออนุญาตอย่างถูกต้อง” รวมทั้งกลุ่มที่ลักลอบปลูกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตนั่นเอง
แต่ทั้งนี้ ยังมีเสียงของนักธุรกิจ นักลงทุนและผู้ประกอบการ ที่ลงทุนกับธุรกิจกัญชาอย่างถูกต้อง ได้วิงวอนขอให้รัฐบาล มีมาตรการช่วยเหลืออย่างจริงจัง เพราะหลังจากที่มีประกาศปลดล็อกกัญชาเมื่อปี 2565 บางรายมีการลงทุนหลักสิบล้านบาท แต่ด้วยกฎหมายที่ไม่ชัดเจน ทำให้มีคนบางกลุ่ม ลักลอบปลูกกัญชาอย่างผิดกฎหมาย ทำให้คนที่ทำตามกฎระเบียบ ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก จึงอยากให้รัฐบาล มารับผิดชอบในส่วนนี้
เมื่อนโยบายกัญชา กลับมาสู่ “ยาเสพติด” อีกครั้ง สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมกัญชาของไทย แต่หลายฝ่ายยกเมือเชียร์ เพราะเชื่อว่า การเข้าถึงกัญชาของกลุ่มเด็กและเยาวชน จะยากมากขึ้น รวมทั้งปัญหาการติดกัญชาและงบประมาณในการรักษาพยาบาลกลุ่มผู้ติดยาเสพติดก็จะลดน้อยลงไป แต่นโยบายนี้ หลายฝ่ายยังกังวลใจว่า การเสพกัญชาจะไม่หายไป เพราะกลุ่มผู้ขายจะใช้วิธี “ขายใต้ดิน” มากยิ่งขึ้นและนั่นก็จะเป็นบทพิสูจน์ของเจ้าหน้ารัฐว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร