สทนช. ผนึกกำลังทุกหน่วยบูรณาการงานเชิงรุก เตรียมรับมือฝนตกหนัก ก.ค. – ต.ค. นี้

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ได้บูรณาการดำเนินการเชิงรุกรับมือฤดูฝน ปี 2568 มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ฤดูฝนจนถึงระหว่างช่วงฤดูฝนในขณะนี้ ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าในช่วงเดือนกรกฎาคม ปริมาณและการกระจายตัวของฝนบริเวณประเทศไทยยังคงมีน้อย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยยังคงมีกำลังอ่อน จากนั้นปริมาณและการกระจายตัวของฝนจะกลับมาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก ประกอบกับจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางแห่ง เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยจะกลับมามีกำลังแรงขึ้น ในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคม ปริมาณฝนจะเพิ่มมากขึ้นและจะเป็นช่วงที่ฝนตกชุกที่สุดของปี มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากพายุหมุนเขตร้อน 1 – 2 ลูก ที่อาจพัดเข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งได้ในหลายพื้นที่

ทั้งนี้ สทนช. ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนรับมือสถานการณ์ฝนที่จะตกหนัก โดยได้ติดตามการดำเนินงานตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เป็นตามแผนที่วางไว้ ได้แก่

มาตรการที่ 1 คาดการณ์ชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วง การคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยล่วงหน้าจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2568 พบว่า เดือนกรกฎาคม จะมีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและ
น้ำท่วมฉับพลัน จำนวน 18 จังหวัด 55 อำเภอ 203 ตำบล เดือนสิงหาคม มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลัน จำนวน 29 จังหวัด 125 อำเภอ 348 ตำบล เดือนกันยายน มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลัน จำนวน 50 จังหวัด 281 อำเภอ 1,038 ตำบล เดือนตุลาคม มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลัน จำนวน 54 จังหวัด 342 อำเภอ 1,604 ตำบล และเดือนพฤศจิกายน มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลัน จำนวน 37 จังหวัด 204 อำเภอ 962 ตำบล

นอกจากนี้ สทนช. ยังได้ร่วมกับหน่วยงานประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ได้มีประกาศแจ้งเตือนไปแล้ว 9 ฉบับ พร้อมทั้งได้ตรวจสอบและเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์เตือนภัยทั้งประเทศ รวมทั้งจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่เปราะบาง เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนสถานการณ์ให้แก่ประชาชนได้ทันท่วงที

มาตรการที่ 2 ทบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ อาคารควบคุมบังคับน้ำอย่างบูรณาการในระบบลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ สทนช. ได้มีการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุม เน้นการบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกันในระดับลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ โดยจะมีการทบทวนและปรับแผนการบริหารจัดการน้ำ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้อ่างเก็บน้ำแต่ละแห่งสามารถกักเก็บน้ำได้เต็มศักยภาพ เพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค การเกษตร และรักษาระบบนิเวศในช่วงฤดูแล้งถัดไป

มาตรการที่ 3 เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ (สิ่งก่อสร้างที่ใช้ในการจัดการน้ำ) ระบบระบายน้ำ โทรมาตร และบุคลากรประจำพื้นที่เสี่ยง ให้สามารถรองรับสถานการณ์ในช่วงน้ำหลากและฝนทิ้งช่วง โดยได้จัดทำระบบฐานข้อมูลเครื่องจักร-เครื่องมือ มีการตรวจสอบความแข็งแรงของเขื่อนทุกแห่ง พบว่า มีความมั่นคงแข็งแรง ไม่มีรอยร้าว ไม่มีการรั่วซึม ไม่เสี่ยงเกิดการวิบัติ รวมทั้งได้ตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางน้ำ พร้อมจัดทำแผนดำเนินการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ จัดการพื้นที่น้ำท่วม/พื้นที่ชะลอน้ำ และการปรับปรุงคูคลอง เพิ่มพื้นที่รับน้ำและระบายน้ำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพื่อรองรับสถานการณ์น้ำหลาก

มาตรการที่ 4 ตรวจสอบพร้อมติดตามความมั่นคงปลอดภัย คันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำ ให้มีสภาพพร้อมใช้งาน ได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ และทำนบแล้ว จำนวน 467 แห่ง รวมทั้งเสริมความสูงคันกั้นน้ำในจุดที่มีความเสี่ยงคันคลองที่มีระดับต่ำ ให้สามารถใช้งานได้ก่อนเข้าสู่ฤดูน้ำหลาก และเฝ้าระวังให้สามารถใช้งานได้ตลอดฤดูฝน

มาตรการที่ 5 เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของทางน้ำอย่างเป็นระบบ ได้ประยุกต์ใช้ข้อมูลจากผังน้ำ ทั้ง 22 ลุ่มน้ำ ในการกำหนดพื้นที่น้ำหลาก น้ำนอง และพื้นที่ลุ่มต่ำ รวมทั้งการกำจัดผักตบชวาและวัชพืชลอยน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กำจัดวัชพืชไปแล้วกว่า 4.56 ล้านตัน ขุดลอก
คูคลองแล้ว 251.74 กิโลเมตร และลอกท่อแล้ว 3,664 กิโลเมตร

มาตรการที่ 6 ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัยและฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติ สทนช. ได้ตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ จังหวัดเชียงราย และในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกและลุ่มน้ำบางปะกง จังหวัดระยอง นอกจากนี้ ได้เตรียมตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าฯ ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดหนองคายด้วย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ติดตามประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์น้ำ และอำนวยการหน่วยงานในพื้นที่บริหารจัดการมวลน้ำในช่วงฤดูฝนให้เกิดความเป็นเอกภาพจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว โดยมีฐานข้อมูลศูนย์พักพิงอุทกภัยชั่วคราวทั่วประเทศ จำนวน 10,764 แห่ง

มาตรการที่ 7 เร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำ ในแหล่งน้ำทุกประเภทช่วงปลายฤดูฝน ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างจัดทำฐานข้อมูลกักเก็บน้ำในช่วงปลายฤดูฝน

มาตรการที่ 8 สร้างการรับรู้ความเสี่ยงและสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายในการติดตามเฝ้าระวัง รับมือภัยด้านน้ำ ได้จัดทำแผนบูรณาการการแจ้งเตือนอุทกภัยทั้งระบบ ระยะสั้น และระยะยาว พร้อมแผนยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์ในภาวะวิกฤติ รวมทั้งยังได้มีการจัดอบรมเสริมสร้างประสิทธิภาพการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์พิบัติภัยแผ่นดินถล่มใน 4 พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดตาก จังหวัดเชียงราย และจังหวัดแม่ฮ่องสอน

มาตรการที่ 9 ติดตามประเมินผล ปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งข้อมูลแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมน้ำนอกแนวคันกั้นน้ำ แนวเขื่อนชั่วคราวในบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำตามริมแม่น้ำได้ทราบล่วงหน้า เตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ ตลอดจนปรับแผนบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำ เขื่อนระบายน้ำ และประตูระบายน้ำ เพื่อบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์

เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำว่า นอกเหนือจากการวางแผนและติดตามประเมินความก้าวหน้ามาตรการรับมือฤดูฝนแล้ว สทนช. ยังได้ทำงานเชิงรุกในการรับมือฤดูฝนปีนี้ โดยได้ลงพื้นที่เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์แล้วใน 32 จังหวัด ภายใต้คู่มือการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ที่ สทนช. จัดทำขึ้น โดยล่าสุด ได้ลงพื้นที่ลุ่มน้ำโขงเหนือ ได้แก่ จังหวัดลำปาง พะเยา เชียงราย และลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดสกลนคร นครพนม บึงกาฬ หนองคาย เพื่อทบทวนและปรับแผนการบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง โดยเร่งระบายน้ำล่วงหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณน้ำก่อนมีฝนตกชุกในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคม เพื่อให้มีน้ำอยู่ในเกณฑ์ความจุไม่เกิน 80% ของความจุอ่าง ลดความเสียหายบริเวณพื้นที่ด้านท้ายอ่างฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สทนช. ได้ขับเคลื่อนการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนในการแจ้งเตือนภัยด้านน้ำระดับพื้นที่ โดยสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำผ่านช่องทาง Line Official Account : ไทยคู่ฟ้า และผ่านช่องทาง Application : National Thai Water พร้อมทั้งสามารถแจ้งเหตุหรือรายงานอุทกภัยผ่าน Application เพื่อให้หน่วยงานสามารถเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นให้เหลือน้อยที่สุด

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ประกาศ ฉบับที่ 9/2568 เรื่อง เฝ้าระวังน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขัง และระดับน้ำโขงเปลี่ยนแปลง หลังติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศ พบว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สทนช. ได้ประเมินวิเคราะห์สภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและกรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย พบว่ามีพื้นที่บางส่วนเสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ เนื่องจากระบายไม่ทันและระดับน้ำโขงเปลี่ยนแปลง ในช่วงวันที่ 1 – 5 กรกฎาคม 2568 ดังนี้

1. พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขัง ดังนี้

1.1 ภาคเหนือ บริเวณ จังหวัดเชียงราย (อำเภอเมืองเชียงราย แม่สาย พญาเม็งราย เวียงชัย เทิง เชียงของ เวียงแก่น และเชียงแสน) จังหวัดตาก (อำเภอท่าสองยาง และอุ้มผาง) จังหวัดน่าน (อำเภอเมืองน่าน บ่อเกลือ ปัว ทุ่งช้าง ภูเพียง ท่าวังผา และเวียงสา) จังหวัดพะเยา (อำเภอเมืองพะเยา ปง และเชียงม่วน)

1.2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณ จังหวัดเลย (อำเภอเมืองเลย นาด้วง ด่านซ้าย นาแห้ว และปากชม) จังหวัดหนองคาย (อำเภอรัตนวาปี) จังหวัดบึงกาฬ (อำเภอเมืองบึงกาฬ และปากคาด) จังหวัดอุดรธานี (อำเภอวังสามหมอ และหนองหาน) จังหวัดยโสธร (อำเภอเมืองยโสธร และมหาชนะชัย) จังหวัดร้อยเอ็ด (อำเภอทุ่งเขาหลวง พนมไพร สุวรรณภูมิ เสลภูมิ หนองฮี และอาจสามารถ) จังหวัดสุรินทร์ (อำเภอกาบเชิง บัวเชด และสังขะ) จังหวัดศรีสะเกษ (อำเภอศิลาลาด และภูสิงห์) จังหวัดอุบลราชธานี (อำเภอโขงเจียม สิรินธร พิบูลมังสาหาร และศรีเมืองใหม่)

1.3 ภาคตะวันออก บริเวณ จังหวัดจันทบุรี (อำเภอเมืองจันทบุรี ขลุง ท่าใหม่ นายายอาม มะขาม และแหลมสิงห์) จังหวัดตราด (อำเภอเมืองตราด เขาสมิง และบ่อไร่)

1.4 ภาคใต้ บริเวณ จังหวัดระนอง (อำเภอเมืองระนอง กะเปอร์ ละอุ่น และกระบุรี) จังหวัดพังงา (อำเภอคุระบุรี ตะกั่วป่า กะปง และท้ายเหมือง)

2. เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุเก็บกัก บริเวณ จังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง น่าน สุโขทัย พิษณุโลก สกลนคร อุดรธานี ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ นครพนม  นครราชสีมา สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ตราด สุราษฎร์ธานี และกระบี่ และเร่งพร่องน้ำในอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมากกว่าความจุเก็บกัก ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยโทง และอ่างเก็บน้ำห้วยซวง จังหวัดสกลนคร อ่างเก็บน้ำหนองหญ้าม้า จังหวัดกาฬสินธุ์ อ่างเก็บน้ำด่านชุมพล จังหวัดตราด รวมทั้งพิจารณาพร่องน้ำในแหล่งน้ำ ได้แก่ กว๊านพะเยา จังหวัดพะเยา หนองหาร จังหวัดสกลนคร และหนองกุดทิง จังหวัดบึงกาฬ เพื่อรองรับปริมาณน้ำหลากจากฝนที่ตกหนักในพื้นที่

3. เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่งและท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของแม่น้ำอิง บริเวณ อำเภอเชียงคำ เทิง พญาเม็งราย ขุนตาล และเชียงของ จังหวัดเชียงราย

4. เฝ้าระวังผลกระทบจากระดับน้ำในแม่น้ำโขงเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีปริมาณฝนตกสะสม บริเวณสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มส่งผลกระทบพื้นที่จังหวัดริมแม่น้ำโขง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี      

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดดำเนินการ ดังนี้

1. ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ตลอด 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วม รวมถึงพื้นที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำเนื่องจากระบายไม่ทัน

2. ติดตาม ตรวจสอบ ซ่อมแซม แนวคันบริเวณริมแม่น้ำ และเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ พร้อมวางแผนการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม ปรับการบริหารจัดการน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก น้ำในลำน้ำ รวมถึงเขื่อนระบายน้ำและประตูระบายน้ำ ให้สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และ อิทธิพลของการขึ้น – ลง ของน้ำทะเล โดยการเร่งระบายและพร่องน้ำรองรับสถานการณ์ฝนที่คาดว่าจะตกหนัก

3. เตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ รวมถึงความพร้อมของระบบสื่อสาร เพื่อบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือได้ทันที

4. ประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำและแจ้งเตือนล่วงหน้า ให้ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เตรียมพร้อมในการขนของขึ้นสู่ที่สูงหรืออพยพได้ทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์

5. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดริมแม่น้ำโขงเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์และจังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี โปรดประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขงและแจ้งเตือนให้ประชาชน และผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำให้รับทราบและระมัดระวังการสัญจรและประกอบกิจกรรมในบริเวณแม่น้ำโขง รวมทั้งให้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดและเตรียมการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ระดับน้ำโขงเปลี่ยนแปลง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง