นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมและแถลงข่าวซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิระหว่างหน่วยงานและการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน โดยมีนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายนัฐวุฒิ แดนดี รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาฝ่ายวิชาการ และโฆษกกรมอุตุนิยมวิทยา นายสุเมธ สายทอง รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการจัดการสาธารณภัยศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าราชการจังหวัด 6 จังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันประกอบด้วย จังหวัดกระบี่ ระนอง พังงา ภูเก็ต ตรัง และ สตูล และผู้แทนกรมประชาสัมพันธ์ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
นางสาวธีรรัตน์ กล่าวว่า ปัจจุบันสื่อต่างๆ ได้มีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเกิดแผ่นดินไหวในทะเล ทั้งฝั่งมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเกิดสึนามิที่จะส่งผลกระทบกับประเทศไทย รัฐบาลมีความห่วงใยในความปลอดภัยของประชาชน และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ตระหนักถึงความกังวลของประชาชนซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่นำไปสู่เหตุการณ์ไม่คาดฝัน จึงจำเป็นต้องมีการซักซ้อมและเตรียมความพร้อมในการรับมืออย่างดีที่สุด ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและมีความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติในสถานการณ์ต่างๆ เริ่มตั้งแต่ก่อนเกิดภัยพิบัติ ด้วยการวางมาตรการป้องกัน รวมถึงเตรียมความพร้อมเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ทั้งในด้านเครื่องมือ บุคลากรและงบประมาณ เพื่อช่วยลดความวิตกกังวลของประชาชน โดยคำนึงถึงชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นสำคัญ อาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเป็นอย่างดี การฝึกซ้อมดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีคำสั่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ดำเนินการเตรียมความพร้อมให้ประชาชนสามารถรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติได้อย่างสม่ำเสมอและที่สำคัญคือการสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้รับทราบสถานการณ์อย่างชัดเจน ตระหนักรู้ และเข้าใจอย่างถูกต้อง รวมถึงต้องให้ความสำคัญกับประชาชนที่มีการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง ไม่เพียงเฉพาะใน 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน แต่รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดแผ่นดินไหว เพื่อให้ประชาชนลดความวิตกกังวล และทราบแนวทางในการเตรียมความพร้อมของตนเอง ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นที่ประสบเหตุแผ่นดินไหวหลายครั้งในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ดังนั้น การรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงและสิ่งที่ต้องย้ำคือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำเสนอข้อมูลเหล่านี้ให้ถึงมือประชาชนอย่างทั่วถึงที่สุด
ในการประชุมครั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรธรณี และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงของการเกิดแผ่นดินไหวบริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์ สาธารณรัฐอินเดีย รวมถึงแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบริเวณประเทศญี่ปุ่นและผลกระทบต่อประเทศไทย ข้อมูลรอยเลื่อนของแผ่นดินไหว ฝั่งทะเลอันดามันและฝั่งอ่าวไทยที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย การชี้แจงแนวทางการเฝ้าระวังและการเตรียมพร้อมแนวทางการรับมือแผ่นดินไหวและภัยสึนามิของประชาชน โดยกรมอุตุนิยมวิทยามีการทำงาน เพื่อตรวจวัดข้อมูลแผ่นดินไหวทั่วโลก ตลอด 24 ชั่วโมง ที่มีมาตรฐานสากลและมีการตรวจสอบการเกิดแผ่นดินไหวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแบบเรียลไทม์
โดยนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีข้อสั่งการในการประชุม ดังนี้
- ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฝั่งทะเลอันดามันทั้ง 6 จังหวัด กำกับดูแลการปฏิบัติของส่วนราชการภายในจังหวัดให้มีความพร้อมสำหรับการรับมือในกรณีเกิดเหตุสึนามิ ทั้งด้านบุคลากร ทรัพยากร เครื่องจักร เครื่องมือ เส้นทางการอพยพ ศูนย์พักพิง รวมทั้งงบประมาณที่จำเป็น
- ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฝั่งทะเลอันดามันทั้ง 6 จังหวัด สั่งการให้ทุกหน่วยงานภายในจังหวัด และขอความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยสึนามิ มีการซักซ้อม
การปฏิบัติในกรณีเกิดเหตุสึนามิอย่างสม่ำเสมอ และให้ดำเนินการปรับปรุงป้ายบอกเส้นทางอพยพให้เป็นปัจจุบันและชัดเจนที่สุด - ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ติดตาม เฝ้าระวัง และแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหวและสึนามิตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์เตือนภัยให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพบความชำรุดบกพร่องของอุปกรณ์ให้ดำเนินการบำรุงรักษาและซ่อมแซมให้สามารถใช้งานได้ตามปกติโดยเร่งด่วน
- ให้กรมโยธาธิการและผังเมือง บูรณาการความร่วมมือกับกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการสำรวจและประเมินความมั่นคงแข็งแรงของอาคารต่างๆ ให้มีความพร้อม
ในการรองรับการอยู่อาศัยของประชาชนอย่างปลอดภัย - ขอให้กรมประชาสัมพันธ์ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับแผ่นดินไหวและสึนามิอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจ
ในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงจากภัยสึนามิ
ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่ภารกิจที่สามารถดำเนินการได้คือการลดความสูญเสีย และให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการดำรงชีวิตอย่างสูงสุด สิ่งสำคัญคือความร่วมมือจากประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างการรับรู้ร่วมกันอย่างถูกต้อง ปัจจุบันสิ่งที่ประชาชนสามารถมั่นใจได้คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความพร้อม 100% ทั้งระบบการแจ้งเตือนภัย องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่ และอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์ แจ้งเตือน รวมถึงแผนการดำเนินงานในเชิงป้องกันสาธารณภัย ดังนั้น ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า หากมีแนวโน้มหรือประเมินแล้วว่าจะเกิดสึนามิขึ้น ภาครัฐสามารถแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที ดังนั้นการเตรียมความพร้อมรับมือคือสิ่งที่สำคัญ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์และการกระจายข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน โดยขอให้ประชาชนรับฟังข่าวสารจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรง ติดตามรับฟังข้อมูลจากทางราชการ แหล่งข้อมูล และช่องทางสื่อที่เชื่อถือได้ เพื่อให้เกิดความตระหนักที่ไม่ตระหนก
ด้านนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ระบบการแจ้งเตือนภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีมาตรฐานสากล มีการรับข้อมูลการเกิดสาธารณภัยจากหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะข้อมูลจาก Tsunami Service Providers 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ขณะเดียวกัน ปภ.ได้จัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการแจ้งเตือนภัยสึนามิ (Standard Operation Procedure : SOP) ที่เป็นแนวทางในการปฏิบัติร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกำหนดเกณฑ์ระดับในการแจ้งเตือนภัยสึนามิร่วมกัน โดยกำหนดให้มีการรายงานข่าวการเกิดแผ่นดินไหวบนบกในพื้นที่ประเทศไทยตั้งแต่ขนาด 2.5 – 3.9 และจะส่ง Cell Broadcast ตั้งแต่ขนาด 4 ขึ้นไป แผ่นดินไหวในทะเลทั้งบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย กำหนดให้มีการรายงานข่าวตั้งแต่ขนาด 5.0 – 5.9 และจะส่ง Cell Broadcast ตั้งแต่ขนาด 6 ขึ้นไป นอกจากนี้ ในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ชายฝั่งอันดามัน ปภ. ยังได้ติดตั้งอุปกรณ์แจ้งเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงภัยสึนามิ ประกอบไปด้วย หอเตือนภัย จำนวน 129 หอ อุปกรณ์รับสัญญาณเตือนภัยผ่านดาวเทียม EVAC จำนวน 47 แห่ง ซึ่งได้กำหนดเกณฑ์การแจ้งเตือนภัยเมื่อเกิดแผ่นดินไหวในทะเลบริเวณรอยเลื่อนซุนดา ตั้งแต่ขนาด 7.5 ขึ้นไป หากเกิดแผ่นดินไหวในทะเลบริเวณรอยเลื่อนซุนดา ตั้งแต่ขนาด 7.5 ขึ้นไป ปภ. จะทำการแจ้งเตือนภัยสึนามิไปยังพื้นที่ 6 จังหวัดชายฝั่งอันดามัน ได้แก่ จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และ สตูล พร้อมส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังประชาชนผ่านระบบ Cell Broadcast และส่งข้อความสั้น (SMS) ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน แอปพลิเคชัน Thai Disaster Alert (TDA) ส่งข้อมูลไปยัง TV Digital ผ่านระบบ BAS และแจ้งข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นอกจากนี้ ยังมีการฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติด้านสาธารณภัย ประจำปี 2568 (Crisis Management Exercise : C-MEX 25) ร่วมกับ 6 จังหวัดชายฝั่งอันดามัน เพื่อทบทวนแผนเผชิญเหตุของแต่ละจังหวัดในกรณีเกิดภัยสึนามิ และเพื่อให้สามารถอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้ภายในระยะเวลาที่จำกัด จึงขอให้ประชาชนมั่นใจในความพร้อมของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งดำเนินการเฝ้าระวังสถานการณ์ภัยพิบัติในทุกขนาดและทุกประเภท รวมถึงภัยจากแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิอย่างต่อเนื่อง
นายนัฐวุฒิ แดนดี รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาฝ่ายวิชาการ และโฆษกกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวถึงข้อมูลข้อเท็จจริงการเกิดแผ่นดินไหวบริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์ สาธารณรัฐอินเดีย และแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบริเวณประเทศญี่ปุ่นและผลกระทบต่อประเทศไทยว่า สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น กรมอุตุนิยมวิทยาสามารถตรวจวัดข้อมูลแผ่นดินไหวทั่วโลกได้ โดยปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมงตามมาตรฐานสากล พร้อมด้วยซอฟต์แวร์และฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ใช้ในการวิเคราะห์เหตุการณ์แผ่นดินไหวตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อตรวจสอบว่าเหตุการณ์นั้นมีโอกาสก่อให้เกิดสึนามิหรือไม่ ทั้งนี้ มีการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ เช่น กรมทรัพยากรธรณี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและกรมชลประทาน เพื่อให้สามารถรายงานข้อมูลแบบเรียลไทม์
นายสุเมธ สายทอง รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กล่าวถึงข้อมูลรอยเลื่อนแผ่นดินไหวทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทยที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24 มิ.ย. – 4 ก.ค. 68 จัดอยู่ในลักษณะกลุ่มแผ่นดินไหว (Earthquake swarm) ซึ่งมีขนาดประมาณ 3.2–4.9 ตามมาตราริกเตอร์ และเกิดขึ้นรวมทั้งสิ้น 114 ครั้ง โดยเหตุการณ์ในทะเลอันดามัน บริเวณด้านตะวันออกของหมู่เกาะนิโคบาร์ เกิดขึ้นในตำแหน่งที่สัมพันธ์กับรอยเลื่อนแบบระนาบ อยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะนิโคบาร์ ซึ่งเป็นรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกที่มีลักษณะการเคลื่อนที่เฉือนกันในแนวระนาบภายในเปลือกโลก เนื่องจากแผ่นดินไหวมีขนาดไม่เกิน 7.5 ริกเตอร์ จึงไม่ส่งผลให้เกิดคลื่นสึนามิ อีกทั้งจุดที่เกิดเหตุยังอยู่ห่างจากจังหวัดพังงาประมาณ 450 กิโลเมตร และห่างจากภูเขาไฟใต้ทะเลประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งจากการยืนยันของผู้เชี่ยวชาญศูนย์ธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากรธรณี พบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย และไม่ส่งผลให้เกิดคลื่นสึนามิ เนื่องจากเป็นแผ่นดินไหวขนาดค่อนข้างเล็ก และมีต้นเหตุจากการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนในแนวระนาบ ซึ่งไม่มีการยุบตัวของมวลน้ำ รวมถึงไม่มีรอยยุบในพื้นที่อ่าวไทยที่อาจก่อให้เกิดสึนามิได้
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการจัดการสาธารณภัยศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวถึงแนวทางการเตรียมพร้อมและการรับมือแผ่นดินไหว ว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในด้านระบบเตือนภัยที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยมีทุ่นเตือนภัยในน้ำลึกจำนวน 2 ทุ่น และระบบการประเมินคลื่นสึนามิโดยอ้างอิงจากฐานข้อมูล ซึ่งเป็นระบบล่าสุด และถือเป็นระบบแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการนำระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast) มาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย ในประเด็นข้อกังวลเกี่ยวกับแผ่นดินไหว ได้มีการประเมินความรุนแรงของแผ่นดินไหวที่อาจเกิดขึ้นในอ่าวไทย โดยในกรณีสถานการณ์เลวร้ายที่สุด คาดว่าคลื่นจะสูงขึ้นประมาณ 40% ซึ่งหมายถึงผลกระทบต่อประชาชนมีเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม แม้เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นจะเป็นเหตุการณ์ที่มีรอบความถี่ประมาณ 400–600 ปี แต่ประชาชนไม่ควรตระหนก ควรมีความตระหนัก เนื่องจากแผ่นดินไหวสามารถก่อให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ความตระหนักจึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด