ตามที่มีข่าวเผยแพร่ทางโลกโซเชียล ว่า “พายุสุริยะจะพุ่งปะทะโลกใน 48 ชม. เป็นผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นทั้งในไทยและทั่วโลก” นั้น ข้อเท็จจริงเป็นเพียงข่าวลวง พายุสุริยะไม่มีผลทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น วอนประชาชนตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์
ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.)กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง พายุสุริยะไม่ได้ส่งผลกระทบให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้นหรือเกิดอันตรายต่อโลก จะมีผลกระทบเพียงระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียมบ้างเล็กน้อยเท่านั้น
การสลับขั้วสนามแม่เหล็กต้องใช้ระยะเวลานับแสนปี ผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงไม่สามารถเกิดขึ้นในระยะเวลาวันหรือสองวัน อาจส่งผลเล็กน้อย เช่น เกิดแสงออโรราบริเวณขั้วโลกมากกว่าปกติเท่านั้นแต่ที่เกิดการเผยแพร่ข่าวในลักษณะเช่นนี้อาจเป็นเพราะการนำข้อมูลเกี่ยวกับดวงอาทิตย์และโลกมาเชื่อมโยงกัน
ขณะนี้เมืองไทยอยู่ในช่วงฤดูร้อน ทุกพื้นที่ของประเทศมีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศา จึงทำให้เกิดความตื่นตระหนกและวิตกกังวลจากการรับข้อมูลข่าวสารดังกล่าว
ดวงอาทิตย์เป็นก้อนแก๊สขนาดใหญ่มีปฏิกิริยาภายในเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน ที่บริเวณผิวของดวงอาทิตย์นอกจากจะมีอุณหภูมิสูงมากแล้วยังมีปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
อาทิ ปรากฏการณ์การลุกจ้า (Solar Flare) ปรากฏการณ์การเกิดจุดบนดวงอาทิตย์ (Sunspot) ปรากฏการณ์การปลดปล่อยมวลโคโรนาของดวงอาทิตย์ (Coronal Mass Ejection : CME) เป็นต้น ปรากฏการณ์ทั้งหมด เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์ทั้งสิ้น
การปลดปล่อยมวลโคโรนาของดวงอาทิตย์ จะถูกปลดปล่อยออกมาในรูป “พลาสมา” หรือสถานะที่อะตอมของธาตุอยู่ในสภาพเป็นไอออน เป็นประจุไฟฟ้าพลังงานสูง หากมีการระเบิดที่รุนแรงขึ้นจนทำให้กลุ่มพลาสมาเหล่านี้มีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงมาก เราเรียกกลุ่มพลาสมาเหล่านี้ว่า “พายุสุริยะ” (Solar Storm)
การปลดปล่อยมวลโคโรนาจนทำให้เกิดพายุสุริยะจะมีความสัมพันธ์วัฏจักรของดวงอาทิตย์ ซึ่งมีวงจรประมาณ 11 ปี เมื่อดวงอาทิตย์มีจุดบนดวงอาทิตย์จำนวนมาก (Solar Maximum) สนามแม่เหล็กบริเวณดังกล่าวก็เกิดความปั่นป่วน มีการสะสมพลังงานมากขึ้นจนถึงจุดวิกฤตทำให้เส้นแรงแม่เหล็กที่บิดพันกันเป็นเกลียวขาดออกจากกันและเกิดการปลดปล่อยมวลออกสู่อวกาศ ในทุกทิศทุกทาง ซึ่งความเร็วและรุนแรงของกลุ่มประจุไฟฟ้าพลังงานสูงจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงในการระเบิดหรือการปลดปล่อยมวลของดวงอาทิตย์เอง
สำหรับวันที่ 22 เม.ย. 62 ซึ่งตามข้อมูลข่าวลวง ระบุว่า จะเกิดผลกระทบดังกล่าว ผลปรากฏว่าไม่พบรายงานที่ผิดปกติใดๆ เกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์
จึงขอความร่วมมือประชาชนเปิดรับข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ ศึกษาข้อมูลและความเป็นไปได้ด้วยเหตุและผล ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิง และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวัง