เร่งช่วยชาวสวนลำไย เพิ่มเป้าส่งออกและขยายตลาดอินเดีย ยูเออี

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ติดตามสถานการณ์การจำหน่ายสินค้าในตลาดใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ ตลาดต้นพยอม และตลาดวโรรส โดยได้ใช้โอกาสนี้ หารือสถานการณ์ผลผลิตลำไยซึ่งอยู่ในช่วงต้นฤดู พร้อมกับเปิดเผยว่า “วันนี้ผมได้ถือโอกาสเยี่ยมเยียนพ่อค้า แม่ค้าในตลาดใหญ่ของเมืองเชียงใหม่ เพื่อดูสถานการณ์การค้าพบว่าปัจจุบันทั้ง 2 ตลาดยังมีนักท่องเที่ยวและผู้ซื้อคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าก็มีการนำสินค้าสดใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ของตลาดมาจำหน่ายอย่างคับคั่ง อาทิ แคปหมูน้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว กาละแม ซึ่งเป็นที่นิยมที่นักท่องเที่ยวซื้อเป็นของฝาก”

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ใช้โอกาสนี้พบปะหน่วยงานราชการจังหวัดเชียงใหม่ สหกรณ์การเกษตรจอมทอง สภาเกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่ สหกรณ์พืชผักผลไม้เพื่อการตลาดจังหวัดเชียงใหม่ จำกัด ร่วมหารือแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไย โดยทางเกษตรกรได้สะท้อนปัญหาและข้อเรียกร้องที่สำคัญหลายประเด็น อาทิ การขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยวลำไย และต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณพัฒนา มาตรฐานโรงคัดบรรจุและโกดัง (GMP, HACCP) เพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งออก”

ขณะเดียวกัน เสนอให้รัฐสนับสนุนผู้ประกอบการโรงอบและผู้ส่งออกลำไยสดรายใหม่ๆ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากโครงการ ธ.ก.ส. และขอให้ภาครัฐเร่งผลักดันโควตาส่งออกไปอินโดนีเซีย รวมถึงการสนับสนุนบรรจุภัณฑ์ เช่น ตะกร้า 5 กิโลกรัม และกล่อง 10 กิโลกรัม สำหรับขายตรงออนไลน์

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดแนวทางเร่งด่วนหลายมาตรการสำหรับสินค้าลำไย อาทิ เปิดจุดจำหน่ายลำไยที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นๆ ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2568 กระจายผลผลิตผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ รวมถึง สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้กิจกรรม Thai Fruits Festival เชื่อมโยงกับห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างโมเดิร์นเทรด ตลาดกลาง ตลาดสด 

รวมถึงการจัดกิจกรรม Pre-Order และ CSR จากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สนับสนุนกล่องไปรษณีย์และตะกร้าให้สถาบันเกษตรกรผ่าน สำนักงานพาณิชย์จังหวัด ซึ่งเชื่อว่าผลผลิตที่จะออกมา เรามีตลาดรองรับและจะทำให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้อย่างแน่นอน

ส่วนข้อเสนอเรื่องการส่งออก กระทรวงพาณิชย์มีกิจกรรมในการเร่งผลักดันการส่งออกในช่วงผลผลิตออกมาก โดยตั้งเป้าหมายส่งออกลำไยทั้งสดและแปรรูป รวม 65,000 ตัน โดยเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศผ่านสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) ซึ่งมีการจัดกิจกรรม Business Matching สินค้าลำไยแล้วมูลค่า 200 ล้านบาท และยังมีการติดตามโควตาการส่งออกไปอินโดนีเซีย โดยการเชื่อมโยงเจรจาการค้าไปอินโดนีเซีย ระหว่างทูตพาณิชย์กับพาณิชย์จังหวัด ช่วง มีนาคมถึงเมษายน 2568 และ ระหว่าง 8-9 กรกฎาคม 2568 ทำให้ผู้ส่งออกในจังหวัดลำพูน ได้โควตาไม่อั้นจากอินโดนีเซีย และนอกจากอินโดนีเซีย จะมีการขยายตลาดไปยังอินเดีย และประเทศในตะวันออกกลาง อาทิ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้วย

นายจตุพร ย้ำถึงนโยบายหลัก ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย จะทำให้ผลผลิตลำไยของพี่น้องเกษตรกรปีนี้ได้มีตลาดรองรับทั่วประเทศ และประชาชนได้ช่วยสนับสนุนเกษตรกรได้โดยตรงผ่านกิจกรรมต่างๆ ในส่วนของภาคการผลิต มอบหมายให้กรมการค้าภายในดำเนินการ ลดราคาปุ๋ยและปัจจัยการผลิตทางการเกษตร โดยจัดเป็นสินค้าธงเขียว เพื่อลดต้นทุนให้เกษตรกรให้ได้มากที่สุดเป็นอันดับแรก พร้อมทั้งเตรียมหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในวันอังคารที่ 15 กรกฎาคมนี้ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาแรงงานภาคการเกษตร โดยเฉพาะแรงงานเก็บลำไย และกำหนดมาตรการช่วยเหลือลำไยทั้งระบบ

สำหรับปี 2568 ปริมาณผลผลิตลำไยของจังหวัดเชียงใหม่อยู่ที่ 443,622 ตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.32 จากปี 2567 โดยผลผลิตจะออกมากที่สุดในเดือนสิงหาคม จำนวน 164,577 ตัน คิดเป็นร้อยละ 37 ของผลผลิตทั้งหมด ขณะนี้มีผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วประมาณร้อยละ 8 หรือ 22,409 ตัน กระจายในพื้นที่ อำเภอจอมทอง ดอยหล่อ แม่วาง สันป่าตอง ฮอดและดอยเต่า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง