คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. … ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ
คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (4 กุมภาพันธ์ 2568)
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. … ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่ง สคก. ตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนโดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(สำนักงาน ก.พ.ร.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ กระทรวงการคลัง เสนอ
3. ให้กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และประโยชน์ที่จะได้รับของการจัดตั้งศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินขึ้นในประเทศไทย
ซึ่งเป็นการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้เต็มประสิทธิภาพต่อไป รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. … (พ.ร.บ. Financial Hub)
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณาแล้วเสร็จ โดยร่าง พ.ร.บ. Financial Hub นี้ จะถูกบรรจุวาระและเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวาระที่ 1 ทันที
พ.ร.บ. Financial Hub นี้จะทำประเทศไทยก้าวขึ้นสู่ศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค ยกเครื่องการพิจารณาใบอนุญาต และการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจภายใต้ Financial Hub ให้มีความครบวงจร และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ดึงดูดการลงทุน รวมทั้งให้มีหน่วยงานหลักกำหนดนโยบายในการส่งเสริมให้ไทยเป็น Financial Hub และกำหนดนโยบายในการพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการเงิน (Ecosystem) ทั้งการพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐาน ให้สอดรับกับความต้องการของบริษัทด้านการเงินระดับโลก โดยกำหนดรายละเอียดธุรกิจเป้าหมายใน Financial Hub จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินให้เป็นหน่วยงานให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop Authority: OSA) กำหนดคุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจและกลไกการขออนุญาต กำหนดสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจนักลงทุน รวมไปถึงแนวทางการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามหลักสากล
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.)โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. เสร็จแล้ว ประกอบด้วยบททั่วไป หมวด 1 คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน หมวด 2 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน หมวด 3 ผู้อำนวยการ หมวด 4 การอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเป้าหมาย หมวด 5 การส่งเสริมและสิทธิประโยชน์ หมวด 6 การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจเป้าหมาย หมวด 7 พนักงานเจ้าหน้าที่ หมวด 8 มาตรการปรับเป็นพินัย หมวด 9 โทษทางอาญา และบทเฉพาะกาล จำนวน 94 มาตรา (เดิม 96 มาตรา) รวมทั้งกำหนดบัญชีท้ายอัตราค่าธรรมเนียม โดยนำความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาด้วยแล้ว โดยยังคงเป็นไปตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ และแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียดต่าง ๆ ให้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมในสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
- กำหนดแนวทางการจัดตั้ง Financial Hub ในเขตพื้นที่ที่กำกับสำหรับการประกอบธุรกิจเป้าหมาย ได้แก่ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจบริการการชำระเงิน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ และธุรกิจทางการเงินอื่นหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนธุรกิจทางการเงินตามที่คณะกรรมการฯ ประกาศกำหนดโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี (เดิมตามที่คณะกรรมการฯ ประกาศกำหนด) และให้บริการเฉพาะผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (non-residents) เท่านั้น ยกเว้น 2 กรณี คือ 1) การให้บริการระหว่างผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายด้วยกันเอง และ 2) การให้บริการแก่ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากเป็นการดำเนินกิจกรรมเพื่อมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนตลาดภายในประเทศ (Market Participant) โดยมิได้ให้บริการแก่ลูกค้าของผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวโดยตรง (ตัดข้อยกเว้นการให้บริการแก่ลูกค้าของผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายที่เป็นการให้บริการแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยในลักษณะอื่นตามที่คณะกรรมการฯ กำหนดออก เนื่องจากคำว่า “ผู้มีถิ่นที่อยู่ในลักษณะอื่น” อาจหมายถึง “คนไทย” ได้ ซึ่งการให้บริการแก่คนไทยได้ด้วยอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นและเกิดปัญหากับลูกค้าคนไทยหรือระบบการเงินในภาพรวมได้) ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายจะต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด ซึ่งจดทะเบียนในไทยหรือสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ และต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามที่กำหนด
- กำหนดให้มี “คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน” (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ) มีหน้าที่และอำนาจในการเสนอแนะนโยบาย กำหนดประเภทและขอบเขตของการอนุญาตในการประกอบธุรกิจ เป้าหมาย จัดทำแนวทางการส่งเสริมการประกอบธุรกิจเป้าหมาย รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหรือเห็นชอบ (เดิมเป็นอำนาจของคณะกรรมการฯ) ตลอดจนเพิ่มเติมให้เสนอแนะคณะรัฐมนตรีในการตราพระราชกฤษฎีกา เพื่อกำหนดเขตพื้นที่ของสถานที่ประกอบธุรกิจเป้าหมาย นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังคงมีหน้าที่และอำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบการอนุญาต การต่ออายุ และการเพิกถอนการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเป้าหมาย รวมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน
- ให้มีการจัดตั้ง “สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน”มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและไม่เป็นส่วนราชการ เพื่อกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายใน Financial Hub โดยคำนึงถึงเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจหรือระบบการเงินของประเทศ โดยเพิ่มเติมให้สำนักงานฯ ต้องให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจเป้าหมายแก่หน่วยงานหลักที่มีหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจทางการเงินของประเทศร้องขอ
- การอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเป้าหมาย กำหนดให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจประกาศกำหนดประเภทและขอบเขตของการอนุญาตประกอบธุรกิจเป้าหมายโดยต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (เดิมกำหนดให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการฯ) และในกรณีที่การกำหนดประเภทและขอบเขตของการอนุญาตประกอบธุรกิจเป้าหมายดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูและของหน่วยงานกำกับดูแลอื่น
- ให้คณะกรรมการฯ หารือร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องนั้นก่อนด้วย รวมทั้งกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายที่ได้รับอนุญาตได้รับยกเว้นไม่นำกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจทางการเงินจำนวน 7 ฉบับ (กฎหมายหลัก) มาใช้บังคับแก่การประกอบธุรกิจเป้าหมาย (โดยนำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัตินี้ เช่น หลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการจะกำหนดในเรื่องการกำกับดูแลฐานะทางการเงิน การจัดทำบัญชีเงินหรือทรัพย์สินของลูกค้าหรือผู้บริโภค การบริหารจัดการความเสี่ยง มาใช้บังคับในการกำกับดูแลแทน) เว้นแต่ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายนั้นเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจตามกฎหมายหลักดังกล่าว ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายนั้นจะต้องอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายในการกำกับดูแลกลุ่มธุรกิจตามร่างพระราชบัญญัตินี้ด้วย
- กำหนดสิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายใน Financial Hub (หลักการตามร่างฯ เดิม)เช่น สิทธิในการถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด โดยได้รับยกเว้นจากการจำกัดสิทธิของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สิทธิในการนำคนต่างด้าว (ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญใดๆ ที่คณะกรรมการฯ กำหนด ผู้บริหารหรือผู้ชำนาญการ และคู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของบุคคลดังกล่าว) เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและระยะเวลาที่สำนักงานฯ อนุญาต
- การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจเป้าหมาย กำหนดให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจออกประกาศหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อกำกับดูแลการประกอบธุรกิจเป้าหมายให้มีความมั่นคงและปลอดภัย เช่น การกำกับดูแลฐานะทางการเงินและผลการดำเนินการมาตรฐานในการประกอบธุรกิจเป้าหมาย การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล การคุ้มครองลูกค้าหรือผู้บริโภค หรือเรื่องอื่นใดเพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแล
- มาตรการปรับเป็นพินัยและโทษทางอาญา โดยตัดบทบัญญัติที่กำหนดให้เป็นความผิดและมีโทษทางอาญา ซึ่งมีองค์ประกอบความผิดเหมือนหรือคล้ายคลึงกับความผิดที่ได้กำหนดไว้แล้วในภาคความผิดของประมวลกฎหมายอาญา และกำหนดให้ใช้มาตรการปรับเป็นพินัยสำหรับกรณีที่เป็นการกระทำที่มิใช่ความผิดร้ายแรงหรือมิได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจหรือระบบการเงินของประเทศ และโทษทางอาญา สำหรับกรณีที่เป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรงหรืออาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจหรือระบบการเงินของประเทศ โดยในกรณีที่มีโทษปรับสถานเดียว กำหนดให้เป็นความผิดที่เปรียบเทียบได้
- กำหนดบทเฉพาะกาล โดยในวาระเริ่มแรก ให้รัฐบาลจัดสรรทุนประเดิมให้แก่สำนักงานฯ ตามความจำเป็นและให้คณะกรรมการฯ โดยตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน โดยให้ผู้อำนวยการเป็นกรรมการและเลขานุการ และดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน โดยให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งทำหน้าที่ผู้อำนวยการไปพลางก่อน โดยให้มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการและจัดตั้งสำนักงานฯ ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน และให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐมาปฏิบัติงานเป็นพนักงานของสำนักงานฯ เป็นการชั่วคราวภายในระยะเวลาที่กำหนด (กระทรวงการคลังคาดว่าในระยะ 3 ปีแรก เป็นจำนวน 300 ล้านบาท และอัตรากำลังที่ใช้ในสำนักงานฯ จำนวน 50 อัตรา)