แนะ กต.เชิญทูตกัมพูชา แจงปมวางทุ่นระเบิดฝั่งไทย ชี้เรื่องนี้ต้องฟ้องเวทีโลก

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจนได้รับบาดเจ็บบาดเจ็บ 3 คน ซึ่งรัฐบาลไทยเตรียมประชุมหาแนวทางตอบโต้

นายวิโรจน์ ระบุว่า วินาทีนี้สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศทำคือ การประณามกัมพูชาถือว่าถูกต้องแล้ว ตนคิดว่าตอนนี้การตรวจพิสูจน์ทราบก็พบว่าเป็นทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งเป็นของรัสเซียเป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่าไม่มีใช้ในกองทัพไทยและไม่มีอยู่ในคลังอาวุธของกองทัพ เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าคนที่มาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเอาไว้ ไม่ใช่ทางฝั่งประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นถิ่นกำเนิดนี้หากฝังอยู่ในดินก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าประเทศไทยไม่ได้ใช้ประเทศไหนจะเป็นคนใช้ ถือเป็นสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้วและภาพที่ได้นำมาใส่ร้ายก็เป็นภาพที่พิสูจน์ทราบชัดเจนว่าเป็นภาพที่อยู่ระหว่างการเก็บกู้ทุ่นระเบิด โดยศูนย์ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมซึ่งเป็นฝั่งของประเทศไทย

สิ่งที่ไทยจะต้องทำมากกว่านี้ ควรต้องเชิญทูตกัมพูชาหารือและต้องแจ้งให้กับทูตกัมพูชาว่าต้องการคำตอบยืนยัน หากไม่ได้รับคำตอบก็ควรพิจารณากำหนดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและกัมพูชาเสียใหม่ให้พอเหมาะพอดีเหมาะสมกับพฤติกรรมที่ประสบปัญหาอยู่ทุกวันนี้

การยกระดับในการรายงานเรื่องนี้ต่อนานาประเทศมีความสำคัญมากไม่ว่าจะเป็นสำนักกิจการปลอดทุ่นระเบิดของสำนักงานสหประชาชาติ (UNMAS) ควรทำหนังสือเพื่อให้มาทำงานร่วมกันเพื่อเป็นการยืนยันชัดเจนทางเทคนิคว่าทุ่นระเบิดนี้เป็นทุ่นระเบิดใหม่และไม่ได้ใช้ในกองทัพไทยไม่ได้ มีการสะสมในคลังอาวุธของประเทศไทยซึ่งไทยไม่ได้สะสมมานานแล้ว เพราะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในภาคีของอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งก็เคารพต่ออนุสัญญาที่ได้ให้สัตยาบันไว้ ทางกัมพูชาถือเป็นหนึ่งในประเทศภาคีด้วย ซึ่งเข้ามาพร้อมกันกับประเทศไทยตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งไทยได้บังคับใช้ก่อนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2542 ส่วนกัมพูชาเดือนมกราคมปี 2543 ช้ากว่าไทย 1 ปี

นอกจากนี้ กัมพูชายังเป็นประเทศที่รับรู้ถึงความยากลำบากของพื้นที่ที่เต็มไปด้วยทุ่นระเบิดและพร้อมให้สัตยาบันในอนุสัญญาออตตาวา จะทำให้มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดซึ่งใช้ระยะเวลานานมากกว่าจะสามารถฟื้นฟูพื้นที่ตรงนั้นให้ปลอดทุ่นระเบิดได้และพัฒนาพื้นที่ให้เกิดความปลอดภัยของประชาชน ตนคิดว่ากัมพูชารู้ถึงความเจ็บช้ำน้ำใจของเรื่องนี้ดีอยู่แล้วและก็ไม่คิดว่าจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร

ส่วนการโต้ตอบของฝ่ายไทยนั้นมองว่าเพียงพอหรือไม่ ตนเองคิดว่าในเบื้องต้นก็ควรเป็นแบบนี้ แต่ในต้นเดือน ส.ค.นี้จะมีการหารือกันในเวทีภูมิภาคอาเซียนด้านความมั่นคง ซึ่งคิดว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยจะยกเรื่องนี้ไปหารือและนำไปแจ้งให้กับสมาชิกประเทศต่างๆ ทราบ และในปลายปีนี้จะมีการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียน (ADMM) และคาดว่าจะมี ADMM+ ซึ่งจะมีประเทศอื่นๆ เข้าร่วม เช่น สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เข้าร่วมประชุมด้วย ต้องคิดว่าควรมีการแจ้งพฤติกรรมทรามที่เป็นปัญหานี้ให้กับที่ประชุมรับทราบด้วยเพื่อทวงถามความรับผิดชอบ

สำคัญที่สุดต้องใช้กลไกอนุสัญญาออตตาวา ในการทำหนังสือแจ้งและร้องเรียนตามกระบวนการ ข้อพิพาทความขัดแย้งระหว่างประเทศและความชอบธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ตนคิดว่าพฤติกรรมต่ำทรามลักษณะนี้เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและทหารไทยเป็นฝ่ายสูญเสียน่าจะถึงโอกาสนี้แจ้งให้กลับนานาชาติได้รับรับทราบเพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลกัมพูชาด้วย 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง