รัฐบาลยังแน่วแน่เดินหน้าให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบกระทู้ถามนายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา ถึงแนวทางความชัดเจน และกรอบเวลาของรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามนโยบายของรัฐบาล โดยชี้แจงว่า ปัญหาใหญ่ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นเพราะการไปต่อไม่ได้ เนื่องจากความขัดแย้งแนวคิดว่า จะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างไรและทำประชามติกี่ครั้ง ที่ยังสับสนระหว่าง 2 หรือ 3 ครั้ง ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ที่ค้ำคอไว้อยู่

ดังนั้น รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุด จนมีข้อสรุปให้ทำประชามติ 3 ครั้ง และต้องแก้ไขกฎหมายประชามติให้ใช้แบบเสียงข้างมากชั้นเดียว และพรรคเพื่อไทย รวมทั้งพรรคประชาชน จึงมีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกต รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เหตุใดถึงไม่มีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจากคณะรัฐมนตรีนั้น นายชูศักดิ์ ชี้แจงว่า เนื่องจากยังไม่มีข้อยุติจำนวนครั้งการประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐสภาที่ผ่านมา สั่งไม่บรรจุเข้าวาระการประชุม เพราะความไม่ชัดเจน จนมีการไปพิจารณาคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่พบว่า เสียงข้างมากให้จัดการออกเสียงประชามติ 2 ครั้ง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา จึงกลับมติให้บรรจุได้ แต่ก็ยังมีหนังสือท้วงติงจากวุฒิสภา ซึ่งในมุมคณะรัฐมนตรี มองว่า การเสนอกฎหมายใหม่ๆ จะต้องมีความแน่นอนและชัดเจน เพราะหากไม่ผ่าน หรือมีปัญหาในทางกฎหมาย ก็จะเกิดปัญหาอีกครั้ง ส่วนตัว นายชูศักดิ์เป็นผู้เสนอคณะรัฐมนตรี ไม่ให้เสนอเอง โดยให้เสนอในนามพรรคการเมืองแทน เพราะการตีความประชามติยังไม่สิ้นสุด ซึ่งกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนพยานจากผู้เชี่ยวชาญยังไม่มีคำวินิจฉัย จึงทำให้เรื่องคาราคาซัง

นายชูศักดิ์ ยังยืนยันว่า รัฐบาลยังมีความแน่วแน่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เกิดขึ้นให้ได้ แต่ก็ยังมีปัญหาและอุปสรรคอยู่ ส่วนตัวก็รับทราบในปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยเฉพาะการถ่วงดุลอำนาจ และที่มา สว.เพียงแต่ว่า เงื่อนไขต่างๆ ยังมีอุปสรรค จึงยังต้องรอผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากมีคำวินิจฉัยให้จัดการออกเสียงประชามติ 2 ครั้ง กระบวนการที่ค้างอยู่ ก็สามารถเดินต่อไปในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชนได้  แต่ก็ยังวิตกอยู่ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดประบวนการแก้ไขที่เหมือนไม่อยากให้แก้ เช่น การกำหนดเงื่อนไขเสียงในการแก้ไข เช่น การกำหนดเสียง สว. 1 ใน 3 ซึ่งหากถึงเวลานั้น ก็ต้องขอความร่วมมือวุฒิสภาร่วมแก้ไข จึงยังวิตกว่า อาจจะถูกตีตกในชั้นนั้นก็ได้

สำหรับความเป็นไปได้ในการจัดการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แต่ให้ดำเนินการประชามติ 3 ครั้งเลย โดยครั้งแรกให้จัดประชามติ ไปพร้อมกับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนนั้น นายชูศักดิ์ ชี้แจงว่า หากจะดำเนินการแบบดังกล่าวแล้ว รัฐบาลจะสอบถามศาลรัฐธรรมนูญไปทำไม ซึ่งจะเป็นการกลับไปกลับมา ดังนั้น เมื่อสอบถามไปแล้ว ก็ควรรอคำวินิจฉัย เพราะการจัดการออกเสียงประชามติแต่ละครั้ง ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทต่อครั้ง ในเวลาที่ประเทศมีสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้อีก ย้ำว่า ความตั้งใจของรัฐบาล ต้องการรอดูผลคำวินิจฉัยของศาลและไม่ต้องการให้ไม่สำเร็จ ความไม่แน่ใจต่างๆ ต้องไม่ทำ และทำในสิ่งที่แน่ใจ เพื่อให้กระบวนการไปต่อไป

นายชูศักดิ์ ยังยอมรับว่า รัฐบาลบริหารมา 2 ปีแล้ว และเหลือเวลาไม่นานจะครบวาระ ส่วนตัวได้คำนวณไทม์ไลน์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 คาดว่า ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน รวมทั้งยังต้องจัดการออกเสียงประชามติ ที่จะต้องใช้เวลาอีก 3-4 เดือน และยังต้องเลือก สสร. 6 เดือนเป็นอย่างต่ำหลังประชามติเสร็จสิ้น จึงยอมรับว่า พิจารณาจากไทม์ไลน์แล้ว ยากลำบากที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้สำเร็จบริบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ในรัฐบาลชุดนี้ แต่รัฐบาลก็ตั้งใจว่า อย่างน้อยเมื่อมีข้อยุติในหลายประเด็นแล้ว ก็เดินหน้าต่อไปอย่างน้อยให้สามารถตั้ง สสร.มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไว้ก็จะเป็นการดี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง