นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เรื่องข้อเสนอการหยุดยิงเมื่อคืนวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้หารือทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยฝ่ายไทยได้ยืนยันอย่างหนักแน่นถึงจุดยืนของไทยในการแก้ไขปัญหาคือการใช้สันติวิธี โดยเฉพาะการเจรจาทวิภาคี และคาดหวังว่าที่จะเห็นความตั้งใจจริงจากฝ่ายกัมพูชาในการยุติการใช้ความรุนแรงโดยเฉพาะเรื่องการโจมตีที่ไม่เลือกเป้าหมาย หากฝ่ายกัมพูชาแสดงความจริงใจและสุจริตใจในการแก้ไขปัญหา ฝ่ายไทยก็พร้อมที่จะหารือเพื่อร่วมกันกำหนดมาตรการและกระบวนการที่ชัดเจนสำหรับการหยุดยิง ตลอดจนการยุติการปะทะกัน แต่การที่กองกำลังกัมพูชายังคงเปิดฉากโจมตีหลายจุดตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงการขาดความจริงใจในการยุติการใช้กำลัง มีลักษณะ “พูดอีกอย่าง ทำอีกอย่าง” และยังคงละเลยหลักการพื้นฐานทางมนุษยธรรม ด้วยการโจมตีเป้าหมายพลเรือนบนแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและประเทศไทยไม่สามารถเพิกเฉยได้
การกระทำของกองทัพกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาไม่เพียงเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยเท่านั้น แต่ยังถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ทั้งกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายมนุษยธรรม โดยฝ่ายความมั่นคงของไทยมีหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำดังกล่าว เช่น การตั้งฐานยิงในบริเวณโรงเรียน วัด และบ้านเรือนของประชาชน ซึ่งถือเป็นการใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์อย่างชัดเจน รวมถึงการโจมตีโรงพยาบาลสนามของไทย ทั้งนี้เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์กรณีกัมพูชาใช้อาวุธร้ายแรงยิงเข้าใส่บ้านเรือนประชาชน ที่จังหวัดสุรินทร์ ทั้งยังมีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและข้อมูลเท็จ โดยกล่าวหาว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน นั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจง ดังนี้
1. ประเทศไทยขอประณามการกระทำอันร้ายแรงและเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างรุนแรงที่สุด และขอเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการโจมตีเป้าหมายพลเรือนในทันที การยุติการสู้รบไม่อาจเกิดขึ้นได้ ตราบใดที่กัมพูชายังคงขาดความสุจริตใจอย่างร้ายแรงและละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและหลักการพื้นฐานของกฎหมายมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยขอสงวนสิทธิในการป้องกันตนเองตามที่บัญญัติไว้ในข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และได้ดำเนินการตอบโต้ในลักษณะที่จำกัดเฉพาะเป้าหมายทางทหารเพื่อขจัดภัยคุกคามต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย
2. ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและเลวร้ายเหล่านี้ของกัมพูชา ซึ่งไม่อาจยอมรับได้ในระเบียบโลกที่ยึดถือกติกาและหลักนิติธรรม
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งหนังสือถึงสหประชาชาติอีก 2 ฉบับคือ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) กรณีการโจมตีตามแนวชายแดนที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้น ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ซึ่งการโจมตีอย่างรุนแรงไม่เลือกเป้าหมายและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศนี้ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อีกทั้งการอพยพออกจากพื้นที่ยังส่งผลให้ประชาชนต้องออกจากบ้านเรือน คนเจ็บป่วยไม่สามารถรับการรักษาพยาบาล อีกทั้งการปิดโรงเรียนยังสร้างความเสียหายต่อเด็กในระยะยาว พร้อมเรียกร้องให้กัมพูชายุติการใช้กำลังที่ทำให้สูญเสียชีวิตและทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะเด็กตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงโดยทันที
นอกจากนี้กัมพูชายังพยายามบิดเบือนข้อมูลว่าไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อนและสร้างความเสียหายให้แก่ปราสาทพระวิหาร โดยชี้แจงว่าเป็นการกล่าวหาที่ไร้หลักฐาน และภาพประกอบที่ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่ก็ไม่สามารถระบุวันเวลาได้ อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญยังให้ความเห็นว่าอาจเป็นการนำภาพเก่าที่มีรอยกระสุนที่มีมานานแล้วมานำเสนอ และนอกจากยุทธวิธีการใช้สถานที่พลเรือนเป็นโล่กำบังแล้ว ยังรวมถึงการตั้งใจใช้โบราณสถานเป็นโล่กำบังเพื่อโจมตีฝ่ายไทยด้วย
ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษ ประเทศไทยได้พิสูจน์ให้ประชาคมระหว่างประเทศเห็นมาโดยตลอดว่า การดำเนินนโยบายและการปฏิบัติของไทยนั้นทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก ล้วนยึดมั่นในหลักสากล และในกรณีนี้ก็เช่นกัน การที่ไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ต่อกัมพูชา ถือเป็นสิทธิที่ชอบธรรมของประเทศไทยภายใต้กฎบัตรระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ โดยเฉพาะสิทธิในการป้องกันตนเองจากการรุกรานของกัมพูชา การตอบโต้ของไทยเป็นไปอย่างมีสัดส่วน จำกัดเฉพาะการโจมตีทางทหารที่จำเป็นเท่านั้น และขอย้ำว่าทุกก้าวของไทยในการรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ หลักมนุษยธรรม และความรับผิดชอบ อย่างไรก็ตามขณะนี้ที่สถานการณ์มีความละเอียดอ่อน ขอให้ประชาชน ระมัดระวังในการสื่อสารและรับข้อมูลข่าวสารโดยเฉพาะในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหรือสร้างความแตกแยกได้โดยไม่ตั้งใจ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการดำเนินการของรัฐบาล โดยในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศทุกสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ ได้ดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงแก่ประเทศและองค์การระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
การประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศบ.ทก. ด้านความมั่นคง แถลงผลการประชุม ว่า จากประเด็นที่ปรากฏเป็นข่าวบางประเทศเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิง แต่ไทยยืนยันว่าการจะหยุดยิงได้ต่อเมื่อกัมพูชามีความจริงใจและหยุดยิงทันที แต่จะเห็นได้ว่ากัมพูชายังคงไม่หยุดยิงเข้ามาในฝ่ายไทย โดยเฉพาะการนำประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์ และการโจมตีโรงพยาบาล และพื้นที่พลเรือนจนได้รับความเสียหาย ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน และขอประณามกัมพูชาที่ไม่จริงใจในการพูดคุย เห็นได้จากการที่กัมพูชาปฏิเสธการพูดคุยในเวทีทวิภาคีหลายครั้ง และยังพบกัมพูชาเสริมกำลังทหาร ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และยังมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงในสื่อออนไลน์ ทั้งนี้กัมพูชายังใช้อาวุธหนัก และปรากฏการใช้อาวุธปืนใหญ่ ปืนใหญ่กระสุนวิถีโค้ง จรวดหลายลำกล้อง BM-21 รวมทั้งปรากฏความเคลื่อนไหวที่อาจจะใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพ เช่น PHL-03 RM-70 และ BM-21 เพิ่มเติม
นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ที่เป็นการจัดประชุมแบบปิด มี 15 ประเทศสมาชิกเข้าร่วม เป็นโอกาสสำคัญให้ไทยได้ย้ำจุดยืนพร้อมหลักฐานชัดเจนที่กัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อนและยิงเข้าพื้นที่พลเรือน โดยที่ประชุมเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายลดความตึงเครียดใช้การเจรจา สนับสนุนบทบาทอาเซียนในการแก้ปัญหา และย้ำว่าสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไม่ได้เป็นภัยคุกคามสันติภาพอาเซียน ซึ่งที่ประชุมไม่ได้ออกมติหรือผลลัพธ์ใดๆ สะท้อนว่าประเทศสมาชิกเข้าใจในจุดยืนของฝ่ายไทย ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีพลเรือนโดยฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการ พร้อมส่งหนังสือถึงประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) และเตรียมเข้าหารือกับ ICRC ประจำประเทศไทย ในวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม นี้ เพื่อเน้นย้ำว่าการละเมิดหลักมนุษยธรรมต้องได้รับการประณามจากนานาชาติ อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ที่สื่อต่างประเทศกำลังจะเดินทางลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อรายงานข่าวติดตามสถานการณ์ โดยกรมประชาสัมพันธ์ จะเป็นผู้ประสานงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ในการประสานงาน ประสานบุคคลสำหรับให้ข้อมูลกับสื่อต่างประเทศเพื่อให้การทำงานราบรื่น
ขณะที่ กองบัญชาการกองทัพไทย สรุปสถานการณ์ประจำวัน (27 ก.ค. 68) เวลา 21.09 น.ตามรายงานจากศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ได้สรุปสถานการณ์การปะทะกันบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ในพื้นที่สำคัญ จำนวน 7 แห่ง ดังนี้
ช่องบก: ทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังต่อเนื่อง โดยมีกระแสข่าวว่าฝ่ายกัมพูชาส่งกำลังเข้าสนับสนุนพื้นที่ภูมะเขือและช่องอานม้า ฝ่ายไทยยังสามารถควบคุมพื้นที่ได้ตามเส้นปฏิบัติการ 1:50,000 ขณะที่กัมพูชาเคลื่อนกำลังไปทางทิศใต้
ภูผี–ปราสาทโดนตวล และช่องตาเฒ่า: การตรึงกำลังยังคงดำเนินต่อไป คาดว่าฝ่ายกัมพูชาน่าจะสูญเสียอย่างหนัก โดยเฉพาะการเสียชีวิตของผู้บัญชาการกองพลที่รับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าว
พื้นที่หน้าเขาพระวิหาร: ยังคงมีการสู้รบ โดยกัมพูชาใช้อาวุธหลักคือพลซุ่มยิงจากบริเวณปราสาทพระวิหาร เพื่อมุ่งเป้าทำร้ายกำลังพลไทย ขณะที่ฝ่ายไทยยังคงควบคุมพื้นที่ภูมะเขือตามแผนที่ปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง
ช่องจอม: ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธยิงสนับสนุนโจมตีบ้านเรือนประชาชนไทย พร้อมกันนี้มีความพยายามส่งรถถังขึ้นพื้นที่ช่องกร่าง ห่างจากปราสาทตาควายประมาณ 2 กิโลเมตร
ปราสาทตาเมือนธม: กัมพูชาปรับขบวนเข้าตีจากทิศตะวันออกตลอดทั้งวัน ฝ่ายไทยจึงถอยร่นและใช้ปืนใหญ่โต้กลับจนกัมพูชาต้องถอนกำลัง
เหตุการณ์สำคัญ: วันที่ 27 กรกฎาคม 2568 เวลา 06.30 น. กัมพูชายิงจรวดจากสนามบินกรุงสำโรง 4 นัด ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนไทยเสียหาย 2 หลัง และสัตว์เลี้ยงตาย 5 ตัว
ฝ่ายไทยสามารถควบคุมพื้นที่ ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ได้ตามแนวเส้นปฏิบัติการ 1:50,000 ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังพยายามรุกในหลายจุด เช่น ช่องตาเฒ่า เขาพระวิหาร ภูมะเขือ ช่องจอม ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือน
การปฏิบัติของฝ่ายกัมพูชานั้น ใช้อาวุธอย่างไม่มีรูปแบบ ไม่เป็นไปตามกฎการปะทะ และส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ส่วนสถานการณ์ยังคงตึงเครียดอย่างสูง และคาดว่ากัมพูชาอาจเตรียมปฏิบัติการครั้งใหญ่ก่อนเข้าสู่การเจรจา
เหตุสลด: กัมพูชายิงจรวด BM-21 ตกในพื้นที่ ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเหตุให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีก 1 ราย โดยเจ้าหน้าที่ทหารได้ให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และนำตัวส่งโรงพยาบาลศรีสะเกษ เพื่อเข้ารับการรักษาแล้ว
สรุปสถานการณ์ผู้ได้รับผลกระทบ (ณ วันที่ 27 ก.ค. 68)
1. พลเรือน เสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บสาหัส 12 ราย บาดเจ็บปานกลาง 12 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 13 ราย รวมทั้งสิ้น 51 ราย
2. ทหาร เสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บ 103 นาย รวมทั้งสิ้น 111 นาย
การอพยพประชาชน มีการอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงเข้าสู่ศูนย์พักพิงใน 7 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 139,646 คน ได้แก่ อุบลราชธานี 16,816 คน ศรีสะเกษ 62,691 คน สุรินทร์ 39,104 คน บุรีรัมย์ 10,755 คน สระแก้ว 4,076 คน จันทบุรี 450 คน ตราด 5,754 คน
กองทัพไทย ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบจากการที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยของไทย และขอประณามการใช้อาวุธโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย อันเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรมขั้นพื้นฐาน และขอความร่วมมือประชาชนและสื่อมวลชน งดเผยแพร่ภาพผู้เสียชีวิตของฝ่ายตรงข้าม และงดเปิดเผยข้อมูลทางทหารเพื่อความมั่นคงของชาติร่วมกัน กองทัพไทย ขอยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งและเสียสละ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติและความปลอดภัยของประชาชนชาวไทยอย่างถึงที่สุด
ขณะที่การเดินหน้าเจรจาแนวทางสันติภาพกำลังจะเริ่มต้นขึ้น นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยได้รับคำเชิญจากนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ให้เดินทางไปร่วมหารือแนวทางสันติภาพในภูมิภาคนี้ ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยคณะจะออกเดินทางจากกองทัพอากาศเวลาประมาณ 10.30 น และเข้าหารือเวลา 15.00 น. ตามเวลาประเทศมาเลเซีย
คณะของประเทศไทยนำโดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ในฐานะกรรมการ ศบ.ทก. ทั้งนี้ ได้รับแจ้งว่า ประธานอาเซียนได้เชิญผู้แทนรัฐบาลกัมพูชาโดยนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเดินทางมาหารือด้วยตัวเอง