นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมติดตามสถานการณ์และการดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า ข้อมูลเมื่อเวลา 09.00 น. มีประชาชนเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย รวมเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บเพิ่ม 2 ราย รวมบาดเจ็บสะสม 38 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 16 ราย เป็นผู้ป่วยอาการหนัก 11 ราย ส่วนโรงพยาบาลได้รับผลกระทบที่ไม่สามารถให้บริการได้ตามปกติรวม 19 แห่ง แบ่งเป็นปิดให้บริการทั้งหมด 12 แห่ง ให้บริการเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉิน 5 แห่ง ให้บริการผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยฉุกเฉิน 2 แห่ง และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยใน 656 ราย ไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ปลอดภัย 34 แห่ง
สำหรับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมีการเปิดศูนย์อพยพเพิ่มเป็น 534 แห่ง ผู้เข้าพักรวม 156,966 คน เป็นกลุ่มเปราะบาง 29,138 คน ได้จัดทีมปฏิบัติการด้านการแพทย์ อนามัยสิ่งแวดล้อม ควบคุมโรค และสุขภาพจิต ออกให้การดูแลประชาชนรวม 486 ทีม และยังมีเตรียมไว้อีกกว่า 200 ทีม ให้หมุนเวียนทุก 2 สัปดาห์ ส่วนการคัดกรองสุขภาพจิตประชาชนไปแล้ว 11,016 คน พบมีความเครียดสูง 60 คน เสี่ยงฆ่าตัวตาย 46 คน ทุกคนได้รับการปฐมพยาบาลจิตใจและติดตามดูแลตามกระบวนการแล้ว พร้อมเตรียมแผนเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลพื้นที่ปลอดภัยหากมีการใช้อาวุธพิสัยไกล
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) กระทรวง พม. รายงานกรณีการดูแลช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาว่า ทีม พม. จังหวัดศรีสะเกษลงพื้นที่เยี่ยมศูนย์พักพิง 3 แห่งในอำเภอกันทรารมย์ อำเภอโนนคูณและอำเภอศรีรัตนะ พบว่าศูนย์พักพิงชั่วคราวหลายแห่งในจังหวัดศรีสะเกษยังมีความต้องการเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นจำนวนมาก อาทิ นมผงเด็ก นมกล่อง ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป กระทรวง พม. จะได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบ และในระหว่างนี้หากเครือข่ายหรือมีผู้ประสงค์ให้ความช่วยเหลือดูแลกลุ่มเปราะบาง สามารถร่วมกับกระทรวง พม. ที่ขอเป็นสื่อกลางส่งมอบความช่วยเหลือจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ได้ที่ “ศูนย์รับบริจาค กระทรวง พม.” ชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว กรุงเทพฯ สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02 659 6418-9 หรือ บริจาคเงินผ่านบัญชี ศูนย์รับบริจาค กระทรวง พม. ธนาคารกรุงไทย (บัญชีกระแสรายวัน) เลขที่บัญชี 021-6-05940-2 (ผู้บริจาคมีสิทธินำเงินบริจาคไปลดหย่อนภาษีได้)
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบหมายให้กรมการค้าภายใน ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างใกล้ชิด พร้อมสั่งการให้เร่งกระจายสินค้าและดูแลราคาสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน และห้ามไม่ให้ฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือกักตุนสินค้าโดยเด็ดขาด ขณะนี้มีประชาชนจำนวนมากที่อพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวในหลายพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยติดเตียง จำเป็นต้องได้รับการดูแลเรื่องการเข้าถึงสินค้าจำเป็นอย่างเร่งด่วน จึงกำชับให้กรมการค้าภายในร่วมมือกับภาคเอกชนและสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เร่งเติมสต๊อกสินค้าและกระจายเข้าสู่พื้นที่ให้เพียงพอ โดยจากการประชุมร่วมกับผู้ประกอบการห้างค้าปลีก-ค้าส่งรายใหญ่ ได้แก่ ซีพี เอ็กซ์ตร้า (แม็คโคร โลตัส โกเฟรช) บิ๊กซี เซเว่นอีเลฟเว่น ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต และท็อปส์ ผู้ประกอบการยืนยันว่า ยังสามารถกระจายสินค้าไปยังสาขาใกล้เคียงและศูนย์พักพิงได้ต่อเนื่อง โดยยังจำหน่ายในราคาปกติ ไม่มีการปรับขึ้นราคาแต่อย่างใด
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน กระทรวงคมนาคมได้ออกมาตรการช่วยเหลือใน 5 ด้าน ดังนี้
1. การอพยพและเคลื่อนย้ายประชาชน จัดเตรียมยานพาหนะของรัฐ เช่น รถโดยสาร รถบรรทุก และรถไฟ พร้อมตั้งจุดพักคอยใกล้ชายแดน ประสานภารกิจกับกองทัพอากาศเพื่ออำนวยความปลอดภัยในการบิน
2. ดูแลโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ตรวจสอบและซ่อมแซมเส้นทางที่เสียหาย พร้อมเบี่ยงเส้นทางจราจรที่ไม่ปลอดภัย ติดตั้งป้ายเตือนล่วงหน้า และจัดเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในระบบขนส่งทุกประเภท
3. สนับสนุนด้านโลจิสติกส์และขนส่ง ลำเลียงสิ่งของบรรเทาทุกข์ เช่น อาหาร น้ำ ยา และเวชภัณฑ์ พร้อมวางแผนเส้นทางสำรอง ลดผลกระทบต่อระบบขนส่งสินค้า
4. การสื่อสารและประสานงาน ตั้งศูนย์ประสานงานด้านคมนาคมในภาวะฉุกเฉิน พร้อมเปิดสายด่วนตลอด 24 ชั่วโมง และเผยแพร่ข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ของกระทรวงฯ อย่างต่อเนื่อง
5. เตรียมบุคลากรและเครื่องจักรกล ระดมเจ้าหน้าที่จากกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท พร้อมเครื่องจักรกลหนักและหน่วยเคลื่อนที่เร็วเข้าพื้นที่ทันทีเมื่อจำเป็น โดยทุกหน่วยต้องติดตามสถานการณ์และปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง
ด้านบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดศูนย์รับ–ส่งสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยชายแดนไทย–กัมพูชา โดยไม่คิดค่าขนส่ง เช่น น้ำดื่ม อาหารกระป๋อง และยา โดยจะรวบรวมสิ่งของบริจาคและส่งไปยังสถานีเดินรถใน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี สามารถนำสิ่งของบริจาคไปยัง ศูนย์รับ–ส่งพัสดุภัณฑ์ บขส. (หมอชิต 2) สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02-537-8480
นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงฯ ได้ออกมาตรการดำเนินการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงบริเวณชายแดน ไทย – กัมพูชา โดยสั่งการดังนี้
กรมการจัดหางาน (กกจ.) สนับสนุนพื้นที่จัดตั้งโรงครัว ประสานการเคลื่อนย้ายแรงงานไทย หากประสงค์จะเดินทางไปทำงานนอกพื้นที่ อำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับประเทศของแรงงานกัมพูชา ผ่อนผันให้แรงงานที่เข้ามาทำงานโดยใช้บัตรผ่านแดน (Border Pass) ทั้งที่มีอายุหรือหมดอายุสามารถทำงานต่อไปได้
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) เตรียมสถานที่เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว และสนับสนุนพื้นที่จัดตั้ง
โรงครัว กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบหยุดงานได้ ไม่ถือเป็นวันลา และเฝ้าระวังการกระทบกระทั่งระหว่างลูกจ้างไทยและลูกจ้างกัมพูชา
สำนักงานประกันสังคม (สปส.) แจ้งให้สถานพยาบาลในระบบประกันสังคมในพื้นที่ให้บริการแก่ผู้ประกันตน โดยไม่เรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล บันทึกการขอรับค่าบริการทางการแพทย์ผ่านระบบ MMS (Multimedia Messaging Service หรือ บริการส่งข้อความ รูปภาพ วิดีโอ) เร่งรัดการวินิจฉัยการขอรับค่าบริการทางการแพทย์ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง ในระบบ MMS ในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้สถานพยาบาลโดยเร็ว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506
นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า ปภ. ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 โดยมีจังหวัดประกาศเขต การให้ความช่วยเหลือฯ (ภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากต่างประเทศ) 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี และตราด รวม 19 อำเภอ 119 ตำบล 1,438 หมู่บ้าน ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้ขยายวงเงินทดรองราชการเป็นจังหวัดละ 100 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างคล่องตัวและทันต่อสถานการณ์ นอกจากนี้ ปภ. ยังเตรียมพร้อมระบบแจ้งเตือนภัยผ่าน Cell Broadcast โดยขอให้ประชาชนเปิดโทรศัพท์มือถือไว้ตลอดเวลา เพื่อรับข้อมูลเตือนภัยอย่างทันท่วงที