รัฐบาลสั่งการทุกหน่วยงานเร่งบริหารจัดการมวลน้ำจากอิทธิพลพายุ ‘วิภา’ เร่งระบายน้ำผ่านเส้นทางหลักลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างมีประสิทธิภาพ

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) แถลงว่า รัฐบาลสั่งการ
ทุกหน่วยงานเร่งบริหารจัดการน้ำและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลพายุ “วิภา” และร่องมรสุม ซึ่งก่อให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ระหว่างวันที่ 21–28 กรกฎาคม 2568 โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้บูรณาการการทำงานผ่านศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ใน 4 ลุ่มน้ำหลัก ได้แก่ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกและบางปะกง จ.ระยอง ลุ่มน้ำโขงเหนือ จ.เชียงราย ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ จ.หนองคาย และลุ่มน้ำยม–น่าน จ.สุโขทัย เพื่อควบคุมมวลน้ำข้ามลุ่มน้ำและจังหวัด พร้อมเร่งระบายน้ำ แจ้งเตือนภัยและสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายในภาวะวิกฤติ

โดยหน่วยงานในพื้นที่ได้ระดมกำลังทั้งเครื่องจักร เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ รวมถึงแนวกระสอบทรายและ Big Bag ป้องกันน้ำท่วมในจุดเสี่ยง ขณะเดียวกันได้อพยพกลุ่มเปราะบาง ดูแลความเป็นอยู่ การแพทย์และสาธารณูปโภคในศูนย์พักพิง พร้อมจัดตั้งโรงครัวพระราชทานและจัดส่งอุปกรณ์กู้ภัยทั้งทางบกและน้ำ รวมถึงวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการสัญจร

ปัจจุบันยังมีอุทกภัยใน 4 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย แพร่ และสุโขทัย โดย จ.น่าน มีฝนสะสมสูงสุดกว่า 500 มม. แต่ระดับน้ำเริ่มลดลงและเข้าสู่ระยะฟื้นฟู ส่วน จ.เชียงรายยังมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ทำให้แม่น้ำกกและแม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง โดยเฉพาะบริเวณสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา ซึ่งเป็นจุดรับน้ำจากฝั่งเมียนมาโดยตรง ส่วน จ.สุโขทัยยังมีแนวโน้มระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นในบางจุด ได้สั่งการให้มีการควบคุมมวลน้ำจากภาคเหนือลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ และควบคุมมวลน้ำเหนือเขื่อนนเรศวรพร้อมเปิดบานประตูระบายน้ำทุกจุด และเตรียมใช้ทุ่งบางระกำเพื่อหน่วงน้ำได้กว่า 400 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าสถานการณ์ทั้ง 4 จังหวัดจะคลี่คลายภายในสิ้นเดือนนี้ ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก หลังเกิดฝนตกหนัก เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำเมยล้นตลิ่งท่วมตลาดริมเมยและชุมชนใกล้เคียง โดยระดับน้ำยังสูงกว่าตลิ่งถึง 3.6 เมตร แต่มีแนวโน้มลดลง หากไม่มีฝนเพิ่มใน 1–2 วันนี้ คาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายภายใน 3–5 วัน

นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลยังได้สั่งการให้บูรณาการบริหารจัดการในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนและเขตเศรษฐกิจในจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา โดยประสานการบริหารระดับน้ำกับพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาไปจนถึงเขื่อนพระรามหกและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับน้ำฝนระลอกใหม่ในเดือนสิงหาคม – กันยายน และลดความเสี่ยงจากสถานการณ์น้ำหลาก ขณะเดียวกันได้สั่งการให้เฝ้าระวังสถานการณ์แม่น้ำโขง ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากเขื่อนน้ำเทิน 1 ใน สปป.ลาว ได้เพิ่มการระบายน้ำอย่างฉับพลันจาก 2,500 เป็น 4,500 ลบ.ม./วินาที ซึ่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ริมฝั่งโขงเพิ่มขึ้น 0.5–1 เมตร พร้อมสั่งให้ทุกพื้นที่จัดทำแผนรับมือ อพยพประชาชนในจุดเสี่ยงและแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างทันท่วงที โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับ
การบูรณาการจัดการน้ำในฤดูฝนปีนี้อย่างเข้มข้น พร้อมเร่งเยียวยาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตประชาชนโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ผ่านแอปฯ และเว็บไซต์ “Nation Thai Water” LINE “ไทยคู่ฟ้า” Facebook สทนช. หรือสายด่วน “ปภ.เตือนภัย” โทร. 1748 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยหารือแนวทางเร่งระบายน้ำจากอิทธิพลพายุวิภา ที่ส่งผลกระทบหลายพื้นที่ โดยเฉพาะลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน ซึ่งสุโขทัยเป็นจุดเสี่ยงในพื้นที่เศรษฐกิจ  ขณะนี้ระดับน้ำในลุ่มน้ำยมเริ่มคลี่คลาย ส่วนลุ่มน้ำน่านยังมีน้ำล้นตลิ่งบริเวณ อ.เวียงสา โดยมวลน้ำจะไหลเข้าสู่เขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำถึง 70% ของความจุ และเหลือพื้นที่ว่างประมาณ 2,000 ล้าน ลบ.ม. จึงมีความเสี่ยงหากเกิดพายุลูกใหม่

ที่ประชุมจึงได้วางแผนร่วมกันเพื่อปรับเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์เป็น 40 ล้าน ลบ.ม./วัน ระหว่างวันที่ 1–15 สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงฝนลดเพื่อป้องกันน้ำล้นเขื่อนในระยะยาวและเตรียมรับฝนหนัก
ช่วงต้นเดือนกันยายน โดยยืนยันว่าการระบายน้ำจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน เช่น อุตรดิตถ์ พิจิตร และพิษณุโลก พร้อมกันนี้ ได้กำชับให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยประชาสัมพันธ์ข้อมูลล่วงหน้าและติดตามสถานการณ์ฝนอย่างใกล้ชิด หากมีฝนเกินคาดจะปรับลดการระบายทันที โดยเน้นควบคุมระดับน้ำผ่านสถานี C.2 ที่นครสวรรค์ ไม่ให้เกิน 1,500 ลบ.ม./วินาที และประเมินความพร้อมของเขื่อนทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถรับมือน้ำหลากได้อย่างปลอดภัย

สำหรับการระบายน้ำลงสู่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา กรมชลประทานรายงานว่า จะทยอยปรับการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น ตั้งแต่เวลา 13.00 น. จากอัตรา 1,000 ลบ.ม./วินาที เป็น 1,050 ลบ.ม./วินาที ภายในเวลา 18.00 น. ของวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำทางตอนบน โดยขอให้ประชาชนในพื้นที่ท้ายเขื่อนเฝ้าระวังและติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำ
อย่างใกล้ชิด

นายชัยรัตน์ แก้วเพียงเพ็ญ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า จากอิทธิพลพายุวิภาและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใน 11 จังหวัด มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 120,000 คน ขณะนี้ยังคงมีสถานการณ์ใน 5 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย แพร่ สุโขทัย และตาก โดย ปภ. ได้ส่งเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรเข้าช่วยเหลือ พร้อมสนับสนุนการฟื้นฟูในพื้นที่ที่คลี่คลายแล้ว

ขณะเดียวกัน ยังได้สั่งเฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำโขงอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะใน จ.บึงกาฬและ จ.หนองคาย ซึ่งมีแนวโน้มว่าน้ำอาจล้นตลิ่งใน 1 – 2 วันนี้ พร้อมส่งข้อความแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือ และได้จัดเจ้าหน้าที่ เครื่องจักรกลและแผนฉุกเฉินไว้รองรับทุกกรณี เพื่อลดผลกระทบและไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติม ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และขอให้จังหวัดริมโขงเร่งตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ และพื้นที่เสี่ยงให้มั่นคงแข็งแรง พร้อมเตรียมแผนสำรองรับมือหากแนวป้องกันเสียหาย

พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 และ ผอ.ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน กองทัพภาคที่ 3 ลงพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์น้ำท่วม เร่งรัดการซ่อมแซมแนวพนัง
กั้นน้ำ และให้กำลังใจประชาชนและเจ้าหน้าที่ โดยมีผู้แทนจังหวัดและหน่วยงานทหารในพื้นที่ร่วมปฏิบัติภารกิจ ซึ่งพบว่าชุมชนเกาะทรายเป็นหนึ่งในจุดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เกิดจากพนังกั้นน้ำชั่วคราวในพื้นที่เสียหายจากแรงกระแทกของท่อนซุงใต้แนวป้องกันทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมอย่างรวดเร็ว ขณะนี้กรมการทหารช่าง อยู่ระหว่างเร่งซ่อมแซมจุดเสียหาย โดยได้รับการสนับสนุนกำลังพลจากหลายหน่วย รวมถึงการตั้งโรงครัวสนามประกอบอาหารช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมเน้นย้ำการบูรณาการร่วมทุกภาคส่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วที่สุด

วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) พร้อมด้วย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดสุโขทัย รับฟังรายงานสถานการณ์ การแก้ไขปัญหา และแผนเตรียมพร้อมรองรับน้ำหลากในพื้นที่ จ.แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์ พร้อมพบปะประชาชนและมอบถุงยังชีพ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง