นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า รัฐบาล ได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์ ชายแดนไทย โดยกำหนดให้ 7 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ดำเนินการดังต่อไปนี้
– ให้บริการสินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อเสริมสภาพคล่องในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ปี 2568 ของ ธ.ก.ส. เพื่อเสริมสภาพคล่องเกษตรกรในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น
– สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เช่น ธนาคารออมสิน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 20,000 บาท/ราย ไม่ต้องมีหลักประกัน เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำรงชีพ/ประกอบอาชีพ ช่วงที่ได้รับผลกระทบ
– สินเชื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นค่าลงทุนในการซ่อมแซมบ้านเรือนทรัพย์สิน ค่าซ่อมเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ของ ธ.ก.ส. วงเงินต่อรายไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR – 2 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 15 ปี
– สินเชื่อเพื่อการฟื้นฟู เพื่อให้ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เช่น ธสน. ธพว. และธนาคารออมสิน เป็นต้น
– มาตรการพักชำระหนี้ เช่น ธนาคารออมสิน พักชำระเงินต้นสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ธพว. พัก ชำระเงินต้น ลด ค่างวดชำระ ขยายระยะเวลาชำระหนี้ เป็นต้น
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังจัดมาตรการเชิงรุกระยะเร่งด่วนและต่อเนื่อง แก่ผู้ประกอบการ 3 กลุ่มชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ เกษตรกร/ผู้ประกอบการผลไม้และผัก ผู้ค้ารายย่อยและชาวบ้าน และผู้ส่งออก-นำเข้า/ ผู้ประกอบการในกัมพูชา
– มาตรการเร่งด่วนระยะสั้น ช่วยเชื่อมโยงระบายสินค้า รวมทั้งผลผลิตทางการเกษตร กระจายสินค้าจากห้องเย็น สำรวจสินค้าตกค้าง และเปิดจุดจำหน่ายสินค้า 33 ครั้ง ผู้ประกอบการ 1,200 ราย
– ส่วนมาตรการต่อเนื่อง อาทิ จัด Thai Fruits Festival 2025 ร่วมกับ 4 ปั๊มใหญ่ (PT, PTT, บางจาก, ซัสโก้) อบรมการค้าออนไลน์ หาเส้นทางขนส่งใหม่ ผ่าน สปป.ลาว/เวียดนาม และจัดกิจกรรม 15 กิจกรรมในอาเซียน เป็นต้น