ศบ.ทก. เร่งปรับการสื่อสาร ตอบโต้ข้อมูลเท็จ นำสื่อต่างประเทศลงพื้นที่เสียหายจริง

จากกรณีสื่อกัมพูชา (The Phnom Penh Post) เผยแพร่การตรวจพบซากระเบิด อ้างว่าเจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านทุ่นระเบิดของกัมพูชา พบระเบิดอากาศ MK-84 ตกใส่บ้านเรือนประชาชน โดยเชื่อมโยงว่ามีสาเหตุจากการโจมตีทางอากาศของเครื่องบิน F-16 หรือ Gripen ของไทยนั้น ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ชี้แจง การยืนยันข้อมูลของกองทัพอากาศ ว่า เป็นข่าวบิดเบือนความจริง เนื่องจาก

1. ปฏิบัติการทางอากาศของไทยเป็นไปอย่างแม่นยำ มุ่งสู่เป้าหมายทางทหารที่ตรวจสอบและยืนยันแล้ว ไม่มีการโจมตีพื้นที่พลเรือนตามหลักสากลว่าด้วยการป้องกันตนเองและเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

2. ลักษณะของระเบิดที่พบในฝั่งกัมพูชา อยู่ในสภาพเก่าและขึ้นสนิมอย่างชัดเจน มีลักษณะคล้ายถูก
“ขุดขึ้นมาจากใต้ดิน” มากกว่าการตกจากอากาศ ความลึกของหลุมและทิศทางการวาง ไม่สอดคล้องกับแรงปะทะจากการทิ้งระเบิดทางอากาศ

3. จากการตรวจสอบภารกิจล่าสุด ฝูงบิน F-16 และ Gripen ทิ้งระเบิดเป้าหมายทางทหารก่อนที่ข้อตกลงหยุดยิงจะมีผล และลูกระเบิดทำงานสมบูรณ์ และตรวจสอบซากได้ครบถ้วน

ศบ.ทก. ขอให้สาธารณชนมั่นใจว่า กองทัพอากาศไทยดำเนินภารกิจด้วยความรับผิดชอบสูงสุด ปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมโดยไม่มุ่งสร้างความเสียหายต่อ
พลเรือนโดยเด็ดขาด

นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยข่าวทหารไทยลักพาตัวทหารกัมพูชาและพลเอก ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เรียกร้องให้รีบปล่อยตัว โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม  ยืนยันว่า กองทัพบกดูแลอย่างดี ให้อาบน้ำ แปรงฟัน หาอาหารให้ทาน ส่วนทหารที่ได้รับบาดเจ็บก็ได้ดูแลรักษา โดยฝ่ายไทยเตรียมที่จะส่งตัวกลับกัมพูชาแล้ว แต่เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 มีผู้นำกัมพูชากล่าวหาไทยลักพาตัวทหารเหล่านี้ จึงต้องป้องกันตัวเองโดยนำทหารกัมพูชามาสอบถาม เพื่อบันทึกปากคำเอาไว้ว่าที่เข้ามาไม่ได้ถูกลักพาตัว แต่เป็นการที่ฝ่ายเราเข้าไปควบคุมตัวได้ ซึ่งทหารกัมพูชาก็ยืนยันเช่นนั้น และขอชี้แจงว่าสิ่งนี้เป็นตัวอย่างเรื่องการตอบโต้ อาจจะช้า ไม่ทันใจ แต่การใช้ความจริงเข้าตอบโต้ข้อมูลที่บิดเบือนมั่นใจว่าจะทำให้มีผลที่ดีกว่า ซึ่งจะมีการส่งกลับตามหลักมนุษยธรรมอย่างแน่นอน

การที่กัมพูชาชิงพาทูตทหารลงพื้นที่ก่อน มั่นใจว่าไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ แม้จะยังไม่พาผู้ช่วยทูตทหารไป แต่กองทัพบกก็ได้มีการแถลงข่าวเรื่องการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 และส่งข้อมูลทั้งหมดให้กับผู้ช่วยทูตทหาร และวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ไทยจะพาผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่จริง

สำหรับเรื่องการสื่อสารข้อมูลข้อเท็จจริง ขอให้สื่อมวลชนนำข้อมูลข้อเท็จจริงไปชี้แจงตอบโต้ด้วย ทหารไม่ได้ถูกฝึกมาให้ตอบโต้ข่าวพวกนี้ แต่ทหารถูกฝึกมาให้ทำงาน จึงขอเชิญชวนให้สื่อมวลชนแสดงขีดความสามารถให้ประชาชนคนไทยได้เห็นว่าท่านสามารถตอบโต้กัมพูชาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ อย่างที่ตนเองเคยบอกว่าข่าวที่กัมพูชาบิดเบือนมา คนไทยก็นำมาโจมตีกันเองแทนที่คนไทยจะตอบโต้และโจมตีกัมพูชา ซึ่งหากเป็นอย่างที่คาดหวังก็จะรู้สึกดีใจมากที่คนไทยรวมใจเป็นหนึ่งตอบโต้กัมพูชา ในส่วนของ ศบ.ทก. ยังมีข้อผิดพลาด ขอน้อมรับคำตำหนิ ทั้งนี้ส่วนตัวต้องการให้มีการชี้แจงหลายภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน แต่เนื่องจากขีดความสามารถของเรามีจำกัดซึ่งต้องเน้นเรื่องความถูกต้องด้วย

อย่างไรก็ตาม ศบ.ทก. จะเร่งดำเนินการด้านการสื่อสาร บริการให้ข้อมูล แก่สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อลดความเข้าใจผิด ความคลาดเคลื่อนในข้อมูลข่าวสาร รวมถึงการบิดเบือนข้อมูลจากฝ่ายตรงข้าม

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศใช้วิธีสื่อสารข้อเท็จจริงด้วยการชี้แจงบนเวทีนานาชาติ โดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงถึงการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จบนเวทีระหว่างประเทศ ในการรับมือกับสถานการณ์การปะทะไทย-กัมพูชา ซึ่งกรณีที่ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้ข้อมูลข่าวสารปลอม กล่าวหาประเทศไทยถือเป็นการกระทำที่ละเมิดข้อตกลง ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อตกลงการหยุดยิงที่มีการตกลงกันในการเจรจาที่ประเทศมาเลเซียด้วย สอดคล้องกับแถลงการณ์ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ OHCHR ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกัมพูชา และต่อต้านการใช้ถ้อยคำที่ยั่วยุบิดเบือน ไม่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชน ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ประเทศไทยใช้ระเบียบแบบแผน มีวุฒิภาวะ และแม้กัมพูชาจะยิ่งใช้สงครามข่าวสารจากความเสียเปรียบบนเวทีต่าง ๆ ประเทศไทยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมตอบโต้ทุกกรณี เพื่อให้นานาประเทศเข้าใจถึงการละเมิดข้อตกลงของกัมพูชา และหากกัมพูชายังคงมีการตอบโต้ด้วยข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ ฝ่ายไทยก็ขอสงวนสิทธิในการตอบโต้

การนำคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทารประจำประเทศไทยลงพื้นที่สังเกตการณ์ในพื้นที่จริง หวังว่าคณะทูตจะได้เห็นสิ่งที่กัมพูชาละเมิดอำนาจอธิปไตยไทย และละเมิดข้อตกลงสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ในการโจมตีพลเรือน โรงพยาบาล และสถานีบริการน้ำมัน และพิสูจน์ได้ว่าประเทศไทยรักษากติการะหว่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศจะพาสื่อมวลชนต่างประเทศ ลงพื้นที่ร่วมกับผู้ช่วย ทูตทหาร เพื่อให้ชาวโลกได้เข้าใจความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อพลเรือนไทยด้วย ดังนั้นเรื่องความเร็วในการตอบโต้จึงไม่ใช่ชัยชนะ แต่การมีหลักฐานมั่นคง และภาพลักษณ์ที่ดีจะทำให้ไทยได้ทุกอย่างที่ต้องการ ทั้งการหยุดยิง และการเจรจาเพื่อดึงกัมพูชากลับมาเจรจาแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี

ส่วนประเด็นเรื่องการควบคุมพื้นที่ปราสาทตาควาย พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พื้นที่ปราสาทตาควายเป็นพื้นที่เดียวที่มีข้อจำกัดหลายสิ่ง หากพูดถึงการควบคุมพื้นที่เราถือว่าพื้นที่ทั้งหมดเราสามารถควบคุมได้ตามแผน ตามเป้าหมาย แต่สำหรับตัวปราสาทตาควายยอมรับว่ายังไม่สามารถควบคุมได้ 100% แต่สามารถควบคุมพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนมีการปะทะ ซึ่งในช่วงสุดท้ายที่มีการใช้กำลังก่อนเข้าสู่เวลาหยุดยิง เราพยายามกระทำต่อเป้าหมายจุดสูงข่มในทางทหารคือ เนิน 350 ซึ่งอาจจะมองว่าอยู่ในฝั่งของประเทศเพื่อนบ้าน แต่เป็นจุดสำคัญที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติทางทหาร เป็นความสำคัญสูงสุดที่จะต้องยึดที่หมายนี้ให้ได้ แต่เวลาไม่เพียงพอ อย่างน้อยสามารถควบคุมพื้นที่ส่วนรวมด้วยอาวุธ ทั้งนี้ เนิน 350 เป็นพื้นที่วางกำลังของทหารกัมพูชา ซึ่งใช้อาวุธหนักยิงเข้ามาที่ปราสาทตาควายทำให้เราไม่สามารถวางกำลังประจำภายในปราสาทตาควายได้ เพราะจะกลายเป็นเป้านิ่ง และอาจถูกโจมตีด้วยอาวุธยิงสนับสนุน คือ BM 21 อีกทั้งการดำเนินการในช่วงเย็น เราเจอทุ่นระเบิดบริเวณรอบปราสาทตาควาย ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 นาย ในที่สุดเมื่อเวลาหมด เราสามารถคุมพื้นที่ได้มากกว่าเดิม เพียงแต่อาจไม่ได้มีกำลังประจำอยู่ที่ปราสาทตาควาย

ทั้งนี้ได้เก็บรวบรวมหลักฐานกรณีทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดบริเวณโดยรอบปราสาทตาควาย เพราะละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งมีหลักฐานเชิงประจักษ์ เรามีผู้บาดเจ็บ มีชาวกัมพูชาที่อยู่บนปราสาทตาเมือนธม และมีวัตถุระเบิด PMN-2 วางอยู่ ซึ่งไม่ใช่ชิ้นเดียว

กัมพูชายังพยายามบิดเบือนว่าไทยปฏิเสธการรับรักษาชาวกัมพูชา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่ากรณีโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ออกแถลงการณ์ งดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวของล่ามชาวกัมพูชาที่ทำงานในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกไปก่อนเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการตรวจพบโดรนบินอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลจึงต้องระมัดระวังเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนกรณีผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่รักษาตัวอยู่ก่อนหน้ายังรักษาต่อไปไม่มีปัญหา และผู้ป่วยฉุกเฉินยังให้บริการตามปกติตามหลักมนุษยธรรม รวมถึงหากมีทหารกัมพูชาป่วยฉุกเฉินก็ไม่จำกัดสิทธิ์ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมา ส่วนจะยกเลิกประกาศการปฏิบัติงานของล่ามชาวกัมพูชาเมื่อใดขอรอพิจารณาหลังมีการเจรจาในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) วันที่ 4 สิงหาคม ก่อน

นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การเชิญผู้ช่วยทูตทหาร คณะทูต และสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ไปสังเกตการณ์พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เพื่อให้ได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างกว้างขวาง ซึ่งสื่อต่างประเทศจะเป็นช่องทางสำคัญในการช่วยเผยแพร่ข้อเท็จจริงให้ประชาคมโลกรับทราบ โดยการลงพื้นที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และการลงพื้นที่ครั้งนี้ฝ่ายไทยจะไม่สร้างภาพลวง ไม่ให้ข่าวบิดเบือน แต่จะเน้นสื่อสารเชิงคุณภาพ สะท้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ได้เห็นถึงความเสียหายต่อบ้านเรือนประชาชน โรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่สาธารณะที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้น และพุ่งเป้าโจมตีไปยังเป้าหมายที่ไม่ใช่ทางทหาร ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ละเมิดหลักการสิทธิมนุษยชน และละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และมีผู้บริสุทธิ์ต้องอพยพไปศูนย์พักพิงประมาณ 1 แสนคน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ศบ.ทก. เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 รัฐบาล โดยคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์ จะนำคณะทูต และผู้ช่วยทูตทหารประจำสถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทย รวมทั้งสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ลงพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษและอุบลราชธานีเพื่อสังเกตการณ์สถานที่ ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีพื้นที่พลเรือนจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญคณะทูตานุทูต และผู้ช่วยทูตทหาร รวม 24 ประเทศ สื่อมวลชนไทย ประมาณ 110 คน จาก 18 หน่วยงาน/สำนักข่าวและสื่อต่างประเทศประมาณ 40 คนจาก 26 สำนักข่าวลงพื้นที่ เพื่อสื่อสารให้ประชาคมโลกทราบถึงข้อมูลหลักฐาน ที่เป็นข้อเท็จจริง โดยจะรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ที่ มณฑลทหารบกที่ 22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี จากนั้นจะลงพื้นที่สังเกตการณ์พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย และพบปะประชาชนที่อพยพจากแนวชายแดน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง