นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า รัฐบาลโดย ศบ.ทก. ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักนายกรัฐมนตรี และกรมประชาสัมพันธ์ ได้นำคณะเอกอัครราชทูต อุปทูต ทูตทหารจาก 23 ประเทศ พร้อมสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติ รวมกว่า 150 คน ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายจากเหตุการณ์สู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยไทยขอยืนยันว่าเหตุปะทะครั้งนี้เกิดจากการโจมตีก่อนของฝ่ายกัมพูชา โดยใช้อาวุธระยะไกลโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
จุดแรกของการลงพื้นที่คือสถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ ตำบลหนองหญ้าลาด อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 (Grad) ใส่เป้าหมาย
พลเรือนอย่างจงใจ ตัวอาคารร้านสะดวกซื้อในบริเวณดังกล่าวถูกไฟไหม้เสียหายเกือบทั้งหมด โดยมีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ประชาชนในพื้นที่ รวมถึงคณะผู้สังเกตการณ์จากทั้งคณะทูตและสื่อมวลชน เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุและรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงในพื้นที่โดยตรง ประชาชนในพื้นที่ได้แสดงความขอบคุณต่อคณะทูตและสื่อมวลชนที่ลงพื้นที่เพื่อรับทราบสถานการณ์จากประสบการณ์จริง ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นหลักฐานชัดเจนที่สะท้อนถึงการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศของฝ่ายกัมพูชา โดยใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายพลเรือนซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจทางทหาร ส่งผลให้สิ่งปลูกสร้างเสียหายรุนแรง และมีผู้เสียชีวิตในพื้นที่ คณะทูตานุทูตและสื่อมวลชนจากนานาชาติได้เห็นด้วยสายตาตนเอง ถือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่รัฐบาลไทยได้รายงานมาโดยตลอด
นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การนำคณะทูตทั้ง 23 ประเทศลงพื้นที่ในวันนี้ เพื่อให้ประชาคมระหว่างประเทศได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากต้นทาง โดยสื่อมวลชนจาก
แต่ละประเทศได้เห็นหลักฐานที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่ากัมพูชามุ่งโจมตีพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง จึงเป็นเหตุให้ประเทศไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ภายใต้กรอบขององค์การสหประชาชาติ อันเป็นการปกป้องสิทธิตามหลักสากล ขอย้ำว่า การดำเนินการของฝ่ายไทยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องประชาชนและอธิปไตยของชาติ การตอบโต้ของไทยเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสากล จากการโจมตีพลเรือนอย่างไร้มนุษยธรรมของกัมพูชา
ทางด้าน พลตรี นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 รองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 พร้อมคณะฯ ร่วมกับ กองทัพบก ได้ร่วมนำคณะทั้งหมดลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปเหตุการณ์ ตรวจสอบ และสังเกตการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพลเรือนไทยจากการใช้อาวุธระยะไกลของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักกฎหมายสากลและหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้ยื่นหนังสือประท้วงการกระทำดังกล่าวตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2000 หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายกัมพูชา และยังคงมีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างอนุสาวรีย์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างข้อได้เปรียบในการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนอธิปไตยของไทย
สำหรับความเสียหายที่ปรากฏในสื่อมวลชนที่เกิดจากการสู้รบในพื้นที่ดังกล่าว โดยฝ่ายไทยมีเป้าหมายในการโจมตีทางทหารซึ่งฝ่ายกัมพูชาใช้สิ่งปลูกสร้างของพลเรือนเป็นที่กำบัง อย่างไรก็ตาม ไม่มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด กองทัพไทยขอประชาคมโลก “เห็นความจริง”
• ไทยไม่ได้รุกราน
• ไม่เคยเลือกใช้กำลังเกินจำเป็น
• เคารพกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายมนุษยธรรม
• ขอเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการบิดเบือน และหันหน้ากลับสู่โต๊ะเจรจาอย่างตรงไปตรงมา
ขณะที่ พลโท อานุภาพ ศิริมณฑล รองเสนาธิการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายกองทัพบก ชี้แจง
2 ประเด็นสำคัญเพิ่มเติมเพื่อให้ตัวแทนรับทราบข้อเท็จจริง ดังนี้
ประเด็นที่ 1 กรณีผู้ถูกคุมขัง
จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง ประเทศไทยกับกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการใช้กําลังทหาร ฝั่งไทยคุมตัวทหารกัมพูชา 20 นาย ที่มีสถานะเป็น “บุคคลที่ถูกคุมตัว” ภายใต้การคุ้มครองกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวาและกฎหมายในประเทศของไทย ซึ่ง กองทัพไทยยึดมั่นและดำเนินการอย่างเคร่งครัด โดยเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ไทยได้ส่งตัวทหารกัมพูชา 2 นายที่บาดเจ็บ กลับกัมพูชาผ่านด่านถาวรที่ช่องจอม จ.สุรินทร์ โดยดำเนินการตามหลักมนุษยธรรมภายใต้อนุสัญญาเจนีวาและกฎหมายระหว่างประเทศ ฝ่ายไทยจะยังคงให้การดูแลผู้ถูกคุมขังที่เหลืออยู่อย่างดีที่สุด ตามหลักสิทธิมนุษยชน
ประเด็นที่ 2 กรณีพาตัวแทนทหารกัมพูชาไปยังเขตช่องอานม้า
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ฝั่งกัมพูชาได้นํากําลังทหาร Attaché Cambodia เดินทางไปยังพื้นที่บริเวณช่องอานม้าและอนุสาวรีย์ตาอม แม้สถานการณ์ในพื้นที่นั้นยังไม่ปลอดภัยต่อการเดินทางของตัวแทนทางการทูต กองทัพไทยยืนยันว่าพื้นที่ช่องอานม้าเป็นดินแดนอธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งฝั่งกัมพูชาได้รุกราน โดยการก่อสร้างอาคารและนําคนมาอาศัยอยู่ที่นั่น สร้างความบิดเบือนข้อเท็จจริงและการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ
ภายหลังจากเสร็จสิ้นการลงพื้นที่ จังหวัดอุบลราชธานี และศรีสะเกษ นายนิกรเดช พลางกูร โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ด้านต่างประเทศ แถลงว่า ไทยได้นำคณะทูต ทูตทหาร และสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ลงพื้นที่สังเกตการณ์พื้นที่พลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น ร้านสะดวกซื้อในสถานีบริการน้ำมัน โรงพยาบาล และศูนย์พักพิงชั่วคราว มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1. ตั้งใจที่จะให้ข้อเท็จจริงจากการลงพื้นที่ดังกล่าว เป็นที่รับทราบแก่สาธารณชนอย่างกว้างขวางที่สุด
ซึ่งสื่อไทยและต่างประเทศจะเป็นช่องทางสำคัญ ที่จะช่วยเผยแพร่ข้อเท็จจริงให้ประชาคมโลกได้รับทราบ
2. การนำคณะทูตและสื่อมวลชนต่างประเทศ มาสังเกตการณ์ และประเมินผลจากการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้ทุกคนได้เห็นกับตา
3. ต้องการเน้นประสิทธิภาพการสื่อสาร ที่สะท้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพื่อจะได้สื่อสารต่อชาวโลกถึงความเสียหายต่อประชาชน บ้านเรือน และที่สาธารณะต่างๆ ที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้น และโจมตีไปยังเป้าหมายที่ไม่ใช่เป้าหมายทางการทหาร ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หลักสิทธิมนุษยชน และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ทำให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บและเสียชีวิต และต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงกว่า 150,000 คน
ผลที่ได้รับภายหลังจากที่คณะทูตได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 คณะฯ ได้ไปสังเกตการณ์ในหลายสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีดังกล่าว ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อ ที่ตั้งอยู่ภายในสถานีบริการน้ำมันที่ จ. ศรีสะเกษ ซึ่งได้รับความเสียหาย จากการโจมตีด้วยจรวดจากฝั่งกัมพูชา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 8 ราย ซึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นแม่กับลูก 3 คน ที่เข้าไปในร้านสะดวกซื้อและไม่ได้กลับออกมาอีก
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านซำเม็ง อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ที่ถูกโจมตีเสียหาย และ ศูนย์พักพิงชั่วคราวแห่งหนึ่งในอำเภอกันทรลักษ์ ที่ยังให้การดูแลประชาชนกว่า 5,000 คน
การลงพื้นที่ครั้งนี้ของไทยเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้คณะทูตและสื่อมวลชนจำนวนมากที่เข้าร่วม ได้เห็นถึงความโปร่งใสของผู้จัดและข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทุกพื้นที่ที่ไปฝ่ายไทยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของคณะด้วย การลงพื้นที่ของฝ่ายไทยเน้นความโปร่งใส หากเปรียบเทียบกับฝ่ายกัมพูชา โดยในการสังเกตการณ์ทุกพื้นที่ สื่อมวลชนสามารถติดตามและถ่ายทอดสดได้ตลอดเวลา อีกทั้งคณะทูตยังได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับครอบครัวของผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เห็นความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐานและผลกระทบต่อพลเรือน
ผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะผลกระทบด้านจิตใจที่ประชาชนต้องอพยพออกจากบ้านตนเอง
นอกจากนี้ คณะทูตและทูตทหารทุกคน ต่างแสดงความขอบคุณรัฐบาลไทย ที่จัดการลงพื้นที่ด้วยความจริงใจและความโปร่งใสในครั้งนี้ และขอย้ำว่าประเทศไทยดำเนินการทุกอย่างในกรอบกติกา เรายึดมั่นในหลักการและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ตามที่ประชาคมโลกได้เห็นแล้วจากการลงพื้นที่ เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า สุดท้ายแล้ว ความจริงจะชนะทุกอย่าง
การพาคณะลงพื้นที่ครั้งนี้ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีทั้งหมด ไม่เพียงคณะที่ลงพื้นที่จะขอบคุณแต่ยังได้เห็นกับตาถึงความโหดร้ายที่เกิดกับประชาชน ครอบครัว และเด็ก เขาเห็นใจเราอย่างมากที่ตกเป็นเหยื่อ โดยไม่เห็นเหตุผลว่าไทยจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ตอกย้ำว่าเราพูดจริง
ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข สรุปสถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ประชาชน เสียชีวิต 17 ราย บาดเจ็บสาหัส 12 ราย บาดเจ็บปานกลาง 13 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 13 ราย รวมทั้งสิ้น 55 ราย ด้านสถานการณ์การอพยพ ล่าสุดมีการเปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวใน
5 จังหวัดรวม 676 แห่ง รองรับประชาชนได้สูงสุดกว่า 395,858 คน โดยขณะนี้ยังมีผู้อพยพอยู่ในศูนย์พักพิงรวม 167,121 คน ลดลง 21,277 คน หลังเจ้าหน้าที่พิจารณาแล้วว่าสามารถให้ประชาชนบางส่วนกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
ด้าน พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศบ.ทก. ด้านความมั่นคง กล่าวว่า สถานการณ์โดยรวมยังคงอยู่ในความสงบ ทั้งสองฝ่ายตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ของตนเอง โดยไม่มีเหตุปะทะเพิ่มเติม นับตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา จากการลงพื้นที่คณะที่มาได้เห็นด้วยตัวเองจากสถานที่จริง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการโจมตีของกัมพูชาที่ล้วนละเมิดอนุสัญญาเจนีวา และหลักสิทธิมนุษยชน ได้ทราบว่าไทยปกป้องตนเองรักษาอธิปไตยของประเทศ ไม่ต้องการรุกรานประเทศใด ซึ่งหลังจากนี้จะมีการจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม นี้ ที่ประเทศมาเลเซีย โดยในวันที่ 4-6 สิงหาคม 2568 จะเป็นการหารือของฝ่ายเลขานุการ และจะประชุมในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฝ่ายไทยร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา โดยขอย้ำให้ประชาชนติดตามข่าวสารได้จาก ศบ.ทก. ที่จะรายงานข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง และขอให้ทุกคนร่วมเป็นทีมไทยแลนด์ร่วมกันปกป้องอธิปไตยของชาติไทย