นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า การบรรลุข้อตกลงการเก็บอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทนกับสหรัฐฯ ที่อัตราร้อยละ 19 จะส่งผลดีกว่าที่คาดการณ์ไว้จากการที่สหรัฐเลือกไทยให้อยู่ในกลุ่มประเทศพันธมิตรของการดำเนินนโยบายการค้า เศรษฐกิจและความสัมพันธ์ที่ดีในภูมิภาคอาเซียนซึ่งตลาดสหรัฐเป็นตลาดหลักของไทยมูลค่ากว่า 1.99 ล้านล้านบาท หรือ ร้อยละ 18 ของการส่งออกไทยทั้งหมด การถูกเรียกเก็บภาษีดังกล่าวใกล้เคียงกับ ประเทศคู่แข่งการค้าของไทย เช่น เวียดนาม และมาเลเซีย การส่งออกไทยจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก การนำเข้าของสหรัฐจะไม่ลดลงมากเพราะการเก็บภาษีไม่สูงเกินไป ทำให้ผู้บริโภคยังคงเลือกสินค้าไทยอยู่ ขณะที่ การประกาศอัตราภาษีของประเทศต้นๆ ส่วนใหญ่อยู่ที่อัตราร้อยละ 15 – 20 จะทำให้เศรษฐกิจโลกไม่ชะลอตัวลงมาก และสามารถปรับตัวและเติบโตในทิศทางที่เหมาะสม
ทั้งนี้เห็นว่า ภาครัฐจะต้องมีมาตรการรับมือและเยียวยาผู้ประกอบการบางประเภทที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ข้อดีของคนไทยจะมีคู่เทียบสินค้าของสหรัฐกับประเทศอื่น โดยรัฐจะต้องออกมาตรการทั้งระยะสั้น และระยะยาว เช่น การหาช่องทางการส่งออกไปยังตลาดประเทศอื่นเพิ่มเติม ส่วนภาคเอกชนต้องปรับลดต้นทุนการผลิต และกำหนดราคาสินค้าให้ต่ำลง โดยเฉพาะผู้ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ และสินค้าชุมชน เกษตรแปรรูป จะต้องติดตามเงื่อนไขการส่งออกไปสหรัฐ พร้อมประเมินการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปีหน้าอยู่ที่ร้อยละ 1.5 – 2 ซึ่งต้องติดตามช่วงไตรมาส 4 จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้าน ภาวะสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา และภาษีสหรัฐ พร้อมแนะนำประชาชนเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตภายในประเทศเพื่อให้การกระจายตัวเศรษฐกิจของไทย