“ประเสริฐ-ธีรรัตน์” สั่ง 4 จังหวัดริมโขงเข้มรับมือน้ำหนุน–สถานการณ์น้ำสุโขทัยเริ่มคลี่คลาย

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์น้ำใน 4 จังหวัดริมแม่น้ำโขง ได้แก่ จังหวัดนครพนม หนองคาย มุกดาหาร และบึงกาฬ โดยแต่ละจังหวัดได้เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้เพิ่มประสิทธิภาพการเตรียมพร้อมในด้านต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในห้วงถัดไป เนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดูฝน การเสริมเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ และการพิจารณาแนวทางปิดกั้นลำน้ำสาขาที่มีความเสี่ยง เช่น บริเวณท้ายเขื่อนน้ำอูน จังหวัดนครพนม และบริเวณห้วยผาคาง ตำบลไคสี จังหวัดบึงกาฬ รวมทั้งให้เฝ้าระวังแนวกั้นน้ำชั่วคราว และเตรียมความพร้อมทรัพยากร เช่น เรือท้องแบน เครื่องสูบน้ำ และชุดปฐมพยาบาล พร้อมจัดชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อเข้าช่วยเหลือและอพยพประชาชนได้ทันที การใช้ระบบแจ้งเตือนภัย เช่น Cell Broadcast (CB) ควบคู่กับช่องทางอื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันสถานการณ์ และให้ใช้ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) จังหวัดหนองคาย เป็นศูนย์กลางบูรณาการข้อมูลสถานการณ์น้ำ และการประสานงานร่วมกับ สปป.ลาว นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างเคร่งครัด   

ส่วนสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน ได้รับรายงานว่า ปัญหาอุทกภัยในจังหวัดสุโขทัยเริ่มคลี่คลายลงแล้ว ในภาพรวมมีแนวโน้มปริมาณน้ำลดลงเกือบทุกจุด แม้บางจุดยังอยู่ในเกณฑ์น้ำมากวิกฤตแต่ระดับน้ำกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง มาจากการบูรณาการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการที่ได้มอบหมายไว้ โดยกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้เร่งระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ชุมชนและพื้นที่การเกษตรลงสู่คลองยม-น่าน พร้อมปรับลดการระบายน้ำเพื่อให้ซ่อมคันคลองที่เสียหายได้เร็วขึ้น โดยบางจุดดำเนินการแล้วเสร็จ และจะทยอยเพิ่มการระบายน้ำอีกครั้งหลังซ่อมครบทั้งหมด เพื่อบรรเทาสถานการณ์น้ำท่วมในเขตเมืองสุโขทัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

ขณะที่ นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 3/2568 ณ ศาลากลางจังหวัดหนองคาย โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. และผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์น้ำและติดตามการบริหารจัดการพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย

นางสาวธีรรัตน์ เน้นย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาอุทกภัย โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำโขงในจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ และนครพนม ซึ่งได้รับผลกระทบในช่วงที่ผ่านมา แม้ทุกหน่วยงานมีการเตรียมพร้อมและดำเนินการตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อย่างเคร่งครัด แต่ยังต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงเดือนสิงหาคม–ตุลาคม ซึ่งคาดว่าปริมาณฝนอาจสูงกว่าค่าเฉลี่ย และอาจเกิดน้ำหลาก น้ำท่วมฉับพลัน หรือดินถล่ม โดยได้สั่งการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเตรียมความพร้อมและการตอบสนองต่อสถานการณ์ ดังนี้

1) บูรณาการข้อมูลและการประสานงาน – ให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ศูนย์ส่วนหน้า
เป็นศูนย์กลางข้อมูล เฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลกับ สปป.ลาว

2) เสริมความมั่นคงแนวป้องกันน้ำ – ให้เตรียมพร้อมเครื่องมือ เช่น เรือ เครื่องสูบน้ำ ชุดปฐมพยาบาล และศูนย์พักพิง พร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน

3) จัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็ว – ให้บูรณาการกำลังจากหน่วยงานรัฐ อปท. และมูลนิธิ ลงพื้นที่ช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์อย่างทันท่วงที

4) เพิ่มประสิทธิภาพการแจ้งเตือนภัย – ใช้ระบบ Cell Broadcast (CB) ควบคู่กับสื่ออื่น เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว

5) เตรียมงบประมาณรองรับระยะยาว – การปรับปรุงระบบระบายน้ำในชุมชน การสร้างคันกั้นน้ำถาวร และประตูระบายน้ำเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. รายงานว่า ขณะนี้ระดับน้ำในหนองคายและบึงกาฬเริ่มลดลง ส่วนที่นครพนมและมุกดาหารยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นก่อนจะลดลงในระยะถัดไป ทุกหน่วยงานเร่งระบายน้ำจากพื้นที่ลุ่มต่ำริมโขงเพื่อคืนสภาพพื้นที่โดยเร็ว พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์ฝนอย่างใกล้ชิด

ในส่วนของการคาดการณ์สภาพอากาศในระยะนี้ พื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา หนองคาย และบึงกาฬ รวมถึงพื้นที่ตอนบนของ สปป.ลาว ยังมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเพิ่มปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง แต่อยู่ในระดับไม่รุนแรงเท่าช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าปริมาณฝนอาจเพิ่มขึ้นตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป รวมทั้งต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากพายุที่อาจพัดเข้าสู่ประเทศไทย โดยศูนย์ส่วนหน้าบริเวณลุ่มน้ำโขงตอนตะวันออกเฉียงเหนือจะยังคงปฏิบัติงานอย่างเต็มขีดความสามารถ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ขณะเดียวกัน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ผลกระทบจากพายุวิภา ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2568–2 สิงหาคม 2568 เกิดอุทกภัยและดินถล่มในพื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย พะเยา ลำปาง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ สุโขทัย ตาก อุตรดิตถ์ เลย และพิษณุโลก มีพื้นที่ได้รับผลกระทบรวม 74 อำเภอ ประชาชนได้รับผลกระทบ 74,597 ครัวเรือน 233,509 คน มีผู้เสียชีวิต 6 ราย และข้อมูลวันที่ 2 สิงหาคม 2568 (เวลา 06.00 น.) ยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย สุโขทัย และพิษณุโลก 9 อำเภอ เบื้องต้นมีประชาชนได้รับผลกระทบ 11,951 คน โดยภาพรวมทุกจังหวัดมีระดับน้ำลดลง และมีแนวโน้มคลี่คลายลงในทุกพื้นที่

สำหรับจังหวัดที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว ขอให้เร่งสำรวจและจัดทำบัญชีความเสียหายทุกด้าน ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว รวมถึงบูรณาการหน่วยงานในพื้นที่เข้าทำความสะอาด และซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน สิ่งปลูกสร้าง สิ่งสาธารณประโยชน์ที่ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บให้ทันต่อสถานการณ์ ตามข้อสั่งการของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อย่างไรก็ตาม ระยะนี้ฝนเบาบางลงจนถึงไม่มีฝนตกเลยในหลายพื้นที่ จึงขอให้จังหวัดเร่งให้การฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้กลับสู่สภาพเดิม และเตรียมการรับมือสถานการณ์ในห้วงถัดไป

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น

  • Application และเว็บไซต์ “Nation Thai Water”
  • LINE “ไทยคู่ฟ้า”
  • Facebook สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • แจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทาง Line Official Account “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” เพิ่มเพื่อนผ่าน Line ID @1784DDPM
  • หรือสายด่วน “ปภ.เตือนภัย” โทร. 1748 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง