นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง ลงพื้นที่ตรวจราชการและพบปะเกษตรกร พร้อมมอบปัจจัยการผลิตทางการเกษตร โดยมีผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วม ณ ศาลาท่าตะโกรวมใจ ต.ท่าตะโก อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ว่า มารับฟังปัญหาของพี่น้องเกษตรกรโดยตรง โดยเฉพาะปัญหาด้านแหล่งน้ำที่เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านหัวถนน หมู่ที่ 5 บ้านโคกมะรื่นเหนือ และหมู่ที่ 3 บ้านหางน้ำ อ.ท่าตะโก ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะนาข้าวได้รับความเสียหาย จึงได้มีการประชุมผู้ได้รับผลกระทบเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา โดยประชาชนในพื้นที่ต้องการให้เวนคืนที่ดินให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำซึ่งมีพื้นที่โดยประมาณ 4,000 ไร่ บรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยกรมชลประทานได้มีแผนในการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำแก้มลิง ในพื้นที่ ต.หัวถนน อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ เป็นที่ราบลุ่มท้องกระทะ มีพื้นที่อยู่ใกล้กับคลองท่าตะโก ซึ่งจะรับน้ำที่ไหลมาจากตอนบนคือคลองห้วยใหญ่ คลองสาขาและคลองวังแรง อีกทั้งมีน้ำหลากจาก ต.หนองหลวง ไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ในช่วงฤดูฝน
นายอรรถกร จึงได้สั่งการให้กรมชลประทาน ดำเนินการขุดลอกพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นลักษณะแก้มลิงขนาดใหญ่ เพื่อเป็นพื้นที่เก็บกักน้ำในช่วงฤดูน้ำหลากและเป็นแหล่งน้ำต้นทุนให้ราษฎรในพื้นที่ไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง พร้อมหารือร่วมกับหน่วยงานส่วนท้องถิ่นหาแนวทางบริหารจัดการน้ำเพิ่มเติม ที่จะช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจของ อ.ท่าตะโก และเน้นย้ำว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนโครงการที่ตอบโจทย์ปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง พร้อมสั่งการให้ดำเนินการออกแบบ และก่อสร้างอย่างครบถ้วนตามขั้นตอน
ขณะที่ กรมชลประทาน โดยสำนักงานชลประทานที่ 3 ได้นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาพร้อมข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการที่กำลังดำเนินการ เช่น โครงการขุดลอกเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ (ไพศาลี) อาคารบังคับน้ำในพื้นที่และโครงการฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด รวมถึงแนวทางพร่องน้ำอ่างห้วยใหญ่เพื่อรับน้ำหลาก ลดความเสี่ยงน้ำล้นในพื้นที่ ทั้งนี้โครงการแก้มลิงขนาดกลางสามารถรองรับน้ำในฤดูน้ำหลากและใช้เป็นแหล่งน้ำต้นทุนในฤดูแล้ง กักเก็บน้ำได้มากถึง 16 ล้านลูกบาศก์เมตรคาดว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านหลายตำบลใน อ.ท่าตะโก ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ยินดีสละที่ดินบางส่วน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม อย่างไรก็ตามก่อนเริ่มดำเนินการจริงจะต้องผ่านขั้นตอนการศึกษาวางโครงการและวางแผนอย่างรอบคอบทุกด้านก่อน เพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว พร้อมวางแผนลงพื้นที่ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลหัวถนน และผู้นำชุมชนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิจารณาแนวทางการพัฒนาโครงการซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับเกษตรกรในภาคเหนือตอนล่าง
นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่ จ.พิษณุโลก เพื่อติดตามการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่โครงการบางระกำโมเดล พร้อมพบปะเกษตรกรและรับฟังปัญหาการเกษตร ณ ประตูระบายน้ำคลองบางแก้ว ต.บางระกำ จ.พิษณุโลก ซึ่งโครงการบางระกำโมเดลเป็นแนวทางบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเกษตรกรในการบริหารจัดการพื้นที่ลุ่มต่ำที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยปรับเปลี่ยนปฏิทินการเพาะปลูกข้าวให้สามารถเก็บเกี่ยวก่อนฤดูน้ำหลาก และใช้พื้นที่หลังเก็บเกี่ยวเป็นทุ่งหน่วงน้ำตามธรรมชาติ ในปี 2568 กำหนดให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวให้เสร็จภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2568 เพื่อรองรับฝนที่ตกเร็วกว่าปกติ ลดความเสียหายที่อาจเกิดกับผลผลิต และเปิดทางให้พื้นที่ทำหน้าที่หน่วงน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
สถานการณ์น้ำในปัจจุบัน กรมชลประทานได้แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำที่ทะลักจาก จ.สุโขทัย เข้าท่วมสองฝั่งแม่น้ำยมตอนบนบางจุดแล้ว สาเหตุมาจากปริมาณน้ำจาก จ.แพร่ มีมากถึง 1,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ได้ไหลมาสู่ประตูระบายน้ำบ้านหาดสะพานจันทร์ จ.สุโขทัย ประมาณ 1,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเกินความจุของแม่น้ำยม จึงผันน้ำไปทางแม่น้ำยมสายเก่า หรือผ่านคลองเมม-คลองบางแก้ว เข้าสู่ อ.บางระกำ เมื่อวันที่
3 สิงหาคม 2568 มีการระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำบางแก้ว 91 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรม และยังไม่มีการผันน้ำเข้าทุ่งบางระกำ เพราะข้าวยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทั้งหมด คาดว่าต้องรออีกประมาณกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งมีพื้นที่ 327,000 ไร่ ครอบคลุม จ.พิษณุโลกและสุโขทัย ขยายพื้นที่จากเดิม 265,000 ไร่ ปัจจุบันเกษตรกรเริ่มทยอยเก็บเกี่ยวข้าวนาปีแล้วประมาณ 160,000 ไร่ หรือกว่า 49% และคาดจะแล้วเสร็จเต็มพื้นที่ภายในเดือนสิงหาคมและใช้เป็นพื้นที่หน่วงน้ำรองรับได้สูงสุด 400 ล้านลูกบาศก์เมตร ช่วยลดผลกระทบในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรกลับมาทำการเกษตรรอบใหม่ได้ในปลายปี
นายอรรถกร กล่าวว่า ในช่วงที่ทุ่งบางระกำถูกใช้เป็นทุ่งหน่วงน้ำ กรมชลประทานร่วมกับกรมประมงได้ปล่อยพันธุ์ปลา เพื่อส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม ให้สามารถจับปลาและแปรรูปจำหน่าย รวมถึงบริโภคในครัวเรือน และยังมอบกรมส่งเสริมการเกษตรจัดหาอาชีพเสริมด้านการเกษตรเพื่อช่วยสร้างรายได้และเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจในช่วงที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้ตามปกติ
จากนั้น ได้ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพและให้กำลังใจแก่ประชาชนที่อาศัยบริเวณชุมชนคุ้มแม่ย่า หมู่ที่ 15 ต.บางระกำ อ.บางระกำ พร้อมตรวจติดตามแผนผันน้ำจากแม่น้ำยมลงแม่น้ำน่าน ณ ประตูระบายน้ำ DR 2.8 ต.บ้านไร่ อ.บางกระทุ่ม ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการผันน้ำจากแม่น้ำยม ลงสู่แม่น้ำน่าน เพื่อเร่งพร่องน้ำจากพื้นที่ตอนบนลดความเสี่ยงต่อพื้นที่ลุ่มต่ำและพื้นที่ท้ายน้ำอื่น ๆ เสริมมาตรการรับมือน้ำหลากในพื้นที่
นอกจากนี้ ยังได้มอบโฉนดที่ดินเพื่อการเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน จำนวน 50 ฉบับ ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่เพื่อสร้างความมั่นคงในการถือครองที่ดินและสนับสนุนการประกอบอาชีพเกษตรกรรม พร้อมมอบปัจจัยการผลิต เมล็ดพันธุ์ผัก สารชีวภัณฑ์ และเมล็ดพันธุ์ข้าวกว่า 1.3 ล้านตัน เพื่อใช้ในการเพาะปลูกฤดูกาลใหม่ ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร โดยเน้นย้ำถึงการส่งเสริมความมั่นคงด้านที่ดิน การเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและการผลักดันการเกษตรแบบยั่งยืน