นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำบรรยายสรุปแก่คณะทูต และองค์การระหว่างประเทศที่มีสำนักงานในประเทศไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีตัวแทนจากสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ และองค์การระหว่างประเทศเข้าร่วม จำนวนทั้งหมด 121 คน 74 ประเทศ 1 องค์กร 16 องค์การระหว่างประเทศ ประกอบด้วย เอกอัครราชทูต 28 คน 27 ประเทศ 1 องค์กร อุปทูตรักษาการชั่วคราว 18 คนจาก 18 ประเทศ ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต จำนวน 53 คน 49 ประเทศ 1 องค์กร หรือผู้แทนจากสหภาพยุโรป (European Union : EU) ผู้แทนจากสถานกงสุลใหญ่ 1 คน 1 ประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ 21 คน 16 องค์กรซึ่งฝ่ายกัมพูชา ได้ส่งเลขานุการโทของสถานทูตมาร่วมสังเกตการณ์
โดยนายมาริษ ได้ยืนยันภายหลังมีข้อตกลงการหยุดยิงในการเจรจาร่วมกับกัมพูชา ที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า การประชุมดังกล่าว เป็นการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยมีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนให้การสนับสนุน ซึ่งไทยขอชื่นชมอย่างยิ่ง ทั้งนี้การประชุมยังมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จัดร่วม และจีนเข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ด้วย หลังจากเหตุการณ์การปะทะอย่างรุนแรงตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเห็นว่าการที่ทั้งสองฝ่ายสามารถมาพบหารือกันได้ถือเป็นสัญญาณที่ดีและข้อตกลงหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงร่วมกันได้ ถือเป็นก้าวสำคัญอันดับแรกที่จะช่วยยุติความสูญเสีย และเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นต่อการลดความตึงเครียด และเปิดทางสู่การเจรจาเพื่อหาข้อยุติอย่างถาวร
ขอย้ำว่า ประเทศไทย จะปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันในปุตราจายาอย่างเคร่งครัด และคาดหวังที่จะเห็นความมุ่งมั่นของฝ่ายกัมพูชา ที่จะดำเนินการด้วยความจริงใจและสุจริตใจ เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาให้ก้าวหน้า ซึ่งตามถ้อยแถลงร่วมฝ่ายกัมพูชาได้ตกลงที่จะกลับมาใช้กลไกการหารือทวิภาคี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยได้ยืนยัน และเรียกร้องมาโดยตลอด ทั้งนี้การหารือระหว่างผู้บัญชาการกองทัพในระดับภูมิภาคของทั้งสองฝ่ายได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เพื่อกำหนดมาตรการเร่งด่วนในการลดความตึงเครียดและการหารือจะดำเนินต่อไป
ทั้งนี้การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee : GBC) ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีในระดับนโยบาย และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วม
จะจัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 4 – 7 สิงหาคม 2568 เพื่อหารือรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อให้ข้อตกลงหยุดยิงมีผลในทางปฏิบัติ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะได้ตกลงที่จะรื้อฟื้นการติดต่อสื่อสารโดยตรงระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันความเข้าใจผิด และสนับสนุนความพยายามลดความตึงเครียด และทั้งมาเลเซีย ไทย และกัมพูชา จะหารือร่วมกัน เพื่อกำหนดมาตรการตรวจสอบ และติดตามการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง โดยภารกิจของคณะผู้สังเกตการณ์ จะนำโดยอาเซียนเป็นหลัก ทั้งนี้ไทยยินดีต่อการสนับสนุนจากมิตรประเทศอื่นๆ ด้วย
นอกจากนี้ยังย้ำจุดยืนของประเทศไทยว่า ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นเรื่องทวิภาคี และไทยไม่เห็นชอบต่อความพยายามใด ๆ ที่จะทำให้สถานการณ์นี้กลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศ ซึ่งไทยได้ยืนยัน
ในหลายโอกาสว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) หรือ ศาลโลก และประสงค์ให้ข้อพิพาทนี้ได้รับการแก้ไขผ่านการเจรจาทวิภาคีภายใต้กรอบที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะหาทางออกอย่างสันติ และถาวรต่อข้อพิพาททวิภาคีนี้ โดยสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรอาเซียน และกฎบัตรสหประชาชาติ
พร้อมกันนี้ขอเรียกร้องให้กัมพูชาเจรจาอย่างสันติด้วยความจริงใจและสุจริตใจ และหลีกเลี่ยงการกระทำยั่วยุทุกชนิด รวมถึงการบิดเบือนข้อมูลและการปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร (IO) ที่จะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง และสุดท้ายซึ่งสำคัญที่สุดขอย้ำว่า นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าโศกเศร้าอย่างยิ่ง ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้เริ่มต้นความขัดแย้งนี้ และขอย้ำว่า ความขัดแย้งกับกัมพูชาไม่ได้อยู่ในผลประโยชน์ของประเทศไทย
ทางด้านนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลภายหลังการบรรยายสรุปแก่คณะทูต และองค์การระหว่างประเทศที่มีสำนักงานในประเทศไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ประเด็นสำคัญในการบรรยายสรุปแบ่งเป็น 9 ประเด็น ดังนี้
1. ประเทศไทยมีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ยึดมั่นสันติภาพ กฎหมายระหว่างประเทศ หลักการสากลต่าง ๆ และมุ่งพัฒนาความสัมพันธ์กับกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านที่ดี แต่เป็นที่น่าเสียดาย
ที่ความมุ่งหวังดังกล่าว กลับไม่ได้รับการตอบสนองจากกัมพูชา โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กัมพูชายั่วยุไทยหลายครั้ง และเปิดฉากโจมตีไทย ละเมิดพันธะกรณีระหว่างประเทศหลายกรณี
2. ฝ่ายไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ฝ่ายกัมพูชาเริ่มโจมตีไทยก่อน “โดยไม่เลือกเป้าหมาย” ส่งผลให้สถานที่ของพลเรือน และพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และเด็กๆ ที่บริสุทธิ์ ต้องเสียชีวิต หรือบาดเจ็บ ต้องอพยพไปยังสถานที่พักพึง ซึ่งทูตทหารได้รับทราบจากการลงพื้นที่เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568
3. การตอบโต้ของไทยทุกครั้ง เป็นการใช้สิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรมตามกฎบัตรสหประชาชาติ เพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความปลอดภัยของประชาชน และการปฏิบัติการของไทยได้ผ่านการไตร่ตรองโดยกองทัพอย่างดี ได้สัดส่วน เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ มุ่งเป้าทางทหารกัมพูชา จึงไม่ถือเป็นการรุกราน
4. การโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาต่อพลเรือน และสถานที่สาธารณะ เป็นการรุกรานอย่างชัดเจน และละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา รวมถึงตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ รวมถึงอนุสัญญาออตตาวาในการวางทุ่นระเบิด ซึ่งประเทศไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด
5. ไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาของกัมพูชา ที่ไม่มีหลักฐานรองรับในทุกเวที และทุกประเด็น เช่น ข้อกล่าวหาการรุกรานของไทยจนปราสาทเขาพระวิหารได้รับความเสียหาย หรือการกล่าวหาประเทศไทยเรื่องการคุกคามแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย ซึ่งฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือชี้แจงไปยังองค์การแรงงานระหว่างประเทศ และองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO) แล้ว
6. ไทยชื่นชมบทบาทมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ที่ช่วยอำนวยความสะดวกจนบรรลุข้อตกลงการหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมขอบคุณสหรัฐฯ และจีน ที่สนับสนุนให้การหยุดยิงเกิดขึ้น แต่น่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่งที่ฝ่ายกัมพูขายังคงละเมิดข้อตกลงการหยุดยิงหลายครั้ง หลายพื้นที่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการขาดความจริงใจของกัมพูชาอย่างชัดเจน จึงขอให้กัมพูชาเคารพ และปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด
7. ฝ่ายไทยยังมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ผ่านการเจรจาแบบทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งฝ่ายไทยได้เข้าร่วมการประชุม GBC วันที่ 4 สิงหาคม จนถึงวันที่ 7 สิงหาคม ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ด้วยความจริงใจและสุจริตใจ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และวางกลไกในการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว นอกเหนือการประชุม GBC ซึ่งเป็นกลไกระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งฝ่ายไทยได้มีการจัดประชุมเตรียมการมาแล้ว 3 ครั้ง โดยคณะเลขานุการ GBC ได้เดินทางถึงมาเลเซียแล้ว ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการประชุมของฝ่ายเลขา จนถึงวันที่ 6 สิงหาคม ก่อนที่วันที่ 7 สิงหาคม จะมีการประชุม GBC สมัยพิเศษ ซึ่งมาเลเซีย สหรัฐฯ และจีน ได้รับเชิญให้เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยเฉพาะการประชุมวันที่ 7 สิงหาคมนี้เท่านั้น
โดยประชาชนสามารถติดตามพัฒนาการการประชุมได้ ผ่านการแถลงข่าวของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)
8. นอกจากนี้ยังมีกลไกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission: JBC) ในช่วงเดือนกันยายนนี้ ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ โดยหวังว่ากัมพูชาจะเข้าร่วม
ด้วยความจริงใจ และหาทางออกในประเด็นเขตแดนที่ยังคั่งค้างอยู่
9. ไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติข้อบิดเบือนข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นแทบจะเป็นรายวันและกลายเป็นเรื่องปกติ เช่นล่าสุด กล่าวหาว่าประเทศไทยอพยพประชาชนจังหวัดสุรินทร์ เมื่อคืนวันที่ 3 สิงหาคม ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมการโจมตีกัมพูชาก่อนการประชุม GBC ซึ่งไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงแต่อย่างใด และการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และยังทำให้ความขัดแย้ง ขยายตัวไปสู่ระดับประชาชน 2 ประเทศ ซึ่งบั่นทอนการทำให้ความสัมพันธ์กลับสู่สภาวะปกติ
ส่วนกรณีที่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยได้รับความเสียหายจากการโจมตีของกัมพูชา เช่นโรงพยาบาล ยืนยันว่ามีกฎหมายระหว่างประเทศที่บังคับให้กัมพูชารับผิดชอบมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งอยู่ในวาระที่กระทรวงการต่างประเทศ กำลังดำเนินการคู่ขนาน เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากฝ่ายรุกราน แต่ขณะนี้ มีเรื่องด่วนกว่านั้นในการเรียกร้องให้กัมพูชาเคารพคำพูดตัวเอง และข้อตกลงหยุดยิง หยุดยุยงปลุกปั่นข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน