คำแถลงรัฐบาล“ก้าวผ่านสองวิกฤต เดินหน้าไปด้วยกัน”

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวคำแถลงรัฐบาล“ก้าวผ่านสองวิกฤต เดินหน้าไปด้วยกัน”ว่า

พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน

ในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ก้าวผ่านสถานการณ์สำคัญสองประการ ที่ท้าทายและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ เราเผชิญกับสถานการณ์ความรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้อดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุ การนำเสนอข่าวปลอมที่ทำลายความไว้วางใจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ที่สำคัญ รัฐบาลยึดมั่นในการเลือกใช้แนวทางสันติวิธีภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศและตามหลักมนุษยธรรมมาโดยตลอด

พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน

เราชาวไทยมีเอกลักษณ์ที่สืบทอดกันมาคือ ความเป็นคนที่รักสงบ อยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความเข้าใจในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่มีต่อกันและกัน แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งที่นำไปสู่การสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรม รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ในทันที ทั้งทางการทหาร การข่าวและการต่างประเทศอย่างรอบด้าน และเด็ดขาด เพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตของประชาชนในชาติ และทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด ซึ่งขณะนี้เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนได้สิ้นสุดลงแล้วเบื้องต้น และได้เริ่มเข้าสู่การเจรจา เพื่อแก้ไขปัญหานี้ร่วมกันผ่านการประชุม GBC ตามหลักสันติวิธี ซึ่งประเทศไทยของเราได้ยึดมั่นมาโดยตลอด

รัฐบาลขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัวทุกๆ ครอบครัว และพี่น้องประชาชนทุกท่านในจังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งแม้ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะประเมินเป็นมูลค่ามิได้ แต่รัฐบาลจะขอผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน เพื่อชดเชยความสูญเสียต่อชีวิต ทรัพย์สิน และรายได้ของพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้รับผลกระทบ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเงินเยียวยาให้แก่ครอบครัวทหารที่เสียชีวิต รวมรายละ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และครอบครัวประชาชนที่เสียชีวิต รวมรายละ ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ และวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันข่าวปลอม ที่มุ่งหมายจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน

สถานการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ไทยเราต้องประสบกับมาตรการภาษีการค้าจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐบาลขอยืนยันว่าได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบและต่อเนื่อง โดยยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ การที่สหรัฐอเมริกาประกาศอัตราภาษีการค้าของไทยที่ร้อยละ ๑๙ จึงสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามและผลจากการทำงานอย่างใกล้ชิดของรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องทุกคน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้ไทยยังคงมีศักยภาพแข่งขันได้ในเวทีโลก และยังคงความได้เปรียบประเทศคู่แข่งขันในภูมิภาค ซึ่งอาจถือได้ว่า นี่คือโอกาสใหม่ของไทยในการเปิดประตูสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ดี รัฐบาลทราบดีว่า การเปลี่ยนแปลงกติกาและโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ของโลก ย่อมทำให้ทุกประเทศต้องมีการปรับตัว ดังนั้น รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการทางการเงิน ทั้งมาตรการ Soft loan มาตรการพักชำระหนี้ การส่งเสริมให้คนไทยใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศและการตั้งงบประมาณเพื่อสนับสนุนและรองรับการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย ทั้งรายใหญ่และรายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างความเข้มแข็งให้แก่พี่น้องเกษตรกรไทย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง

บทเรียนจากเหตุการณ์ทั้งสองที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้พวกเราต่างได้เรียนรู้ว่า การจะก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ จำเป็นต้องอาศัยความสามัคคีของพวกเราชาวไทยทุกคนเพื่อเป็นพลังในการขับเคลื่อน

ขณะนี้ก็ถึงเวลาที่เราคนไทยทุกคนจะจับมือร่วมใจกัน มองตรงไปยังโอกาสและความท้าทายข้างหน้า เพื่อเริ่มก้าวเดินไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันอีกครั้งนั่นคือ การสร้างประเทศไทยให้มีแต่ความสงบร่มเย็นและ
เพื่อประชาชนทุกคนได้อยู่ดีมีสุขโดยเร็ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง