นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้มีโอกาสสัมภาษณ์นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พบว่า รัฐบาลได้วางแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับการบริหารจัดการปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับพระสงฆ์ โดยเฉพาะในประเด็นที่ยังไม่มีบทบัญญัติกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน โดยปัจจุบันเหตุแห่งความผิดของพระสงฆ์มี 4 ประเภทหลัก ได้แก่ การลักทรัพย์ ฆ่าสัตว์ เสพเมถุน และการอวดอุตริ ซึ่งหากผิดวินัยสงฆ์ จะเข้าข่ายอาบัติปาราชิกและต้องสึก แต่ในด้านกฎหมายของรัฐยังไม่มีบทลงโทษในบางกรณี เช่น เสพเมถุนและอวดอุตริ จึงมีความจำเป็นต้องพิจารณาแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้มีโทษทางอาญา เช่น การจำคุกหรือปรับ เพื่อให้สอดคล้องกับความวิตกกังวลของสังคมและวิกฤตศรัทธา
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้วางแนวทางการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ แบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ได้แก่ การแก้ปัญหาต้นเหตุ เช่น การมั่วสีกา ซึ่งอาจมีมูลเหตุจากความประสงค์ต่อทรัพย์ด้วย จึงควรมีการตรวจสอบรายรับรายจ่ายของวัดและพระอย่างรัดกุม การออกกฎหมายและข้อกำหนด ได้ประสานให้มหาเถรสมาคมออกกฎระเบียบเพิ่มเติม อาทิ การห้ามวัดถือเงินสดเกิน 100,000 บาท หากเกินต้องนำฝากธนาคารและต้องรายงานรายรับรายจ่ายต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทุกเดือน โดยสรุปรายงานปีละ 1 ครั้ง การป้องปราม ได้ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยให้กำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมสอดส่องดูแลพฤติกรรมของพระสงฆ์ในชุมชน ผ่านเครือข่ายผู้นำหมู่บ้านและประชาชนในพื้นที่
นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมเสนอให้แก้ไขบทลงโทษเกี่ยวกับพระปลอมที่เข้ามาแอบอ้างบวชเป็นพระสงฆ์ ซึ่งจะปรับให้มีโทษปรับและโทษจำคุกที่ชัดเจนและเข้มงวดมากขึ้น
สำหรับความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ที่ประพฤติไม่เหมาะสม หรือกระทำผิดกฎหมาย ล่าสุด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) โดยศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา ได้เปิดปฏิบัติการ “กวาดลานวัด” เข้าตรวจค้นเป้าหมายกว่า 200 จุดทั่วประเทศ เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ โดยกลุ่มเป้าหมายหลักมีจำนวน 181 ราย แบ่งเป็นผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีระดับเจ้าอาวาสรวมอยู่ด้วยและผู้ต้องหาที่สึกแล้วอีก 27 ราย ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการจับกุมและดำเนินการตรวจค้นจุดเป้าหมายอื่นๆ ต่อเนื่อง