การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญเสร็จสิ้นลงแล้ว โดยไทยและกัมพูชาเห็นพ้องแนวทางการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่างกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย ร่วมจัดทำกับฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ ฝ่ายกัมพูชา จากนั้น พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ร่วมลงนามบันทึกผลการประชุม ซึ่งมีรายละเอียดตามที่ทั้งสองฝ่ายหารือ และตกลงกันตลอด 3 วันที่ผ่านมา ด้วยความหวังให้สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชาคลี่คลาย นำมาซึ่งสันติภาพ และการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมถึงไทยสนับสนุนการใช้กลไกทวิภาคี ระหว่างกันในการพูดคุยอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อตกลง 13 ข้อ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี
2. รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลังและไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย
3. ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา
4. ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดนเขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 และไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกไปนอกขอบเขตของฝ่ายตน
5. ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี
6. การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา: การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี สำหรับทหารที่อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศ หลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็วและจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ
7. กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์
8. เห็นชอบให้เพิ่มในเรื่องของการปฏิบัติ ดังนี้
8.1 ดำรงการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่
8.2 จัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-กัมพูชา ภายใน 2 สัปดาห์นับจากการประชุม GBC ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568
8.3 ดำรงช่องทางการติดต่อสื่อสารโดยตรงระดับรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองประเทศ
9. งดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอม
ส่วนที่ 2 กลไกตรวจสอบการหยุดยิง
10. ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินการตามผลหารือเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ซึ่งรวมถึงการหยุดยิงและการมีคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน นำโดยมาเลเซีย
11. เห็นชอบให้ RBC ในแต่ละพื้นที่ ดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ซึ่งนำโดยมาเลเซียเป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ โดย RBC จะพบกันเป็นประจำ และส่งรายงานให้ GBC ตามสายการบังคับบัญชาของแต่ละฝ่าย
12. ในระหว่างการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนที่มีมาเลเซียเป็นผู้นำ จะใช้กลไกคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ซึ่งประกอบด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประเทศสมาชิกอาเซียน ประจำประเทศไทยและกัมพูชา ทำหน้าที่แทนเป็นการชั่วคราว
ส่วนที่ 3 การประชุม GBC
13. ให้จัดการประชุม GBC ในหนึ่งเดือนหลังวันที่ 7 สิงหาคม 2568 (สถานที่จะตกลงกันภายหลัง) หรือมิเช่นนั้นการประชุม GBC วิสามัญ จะถูกจัดขึ้นเพื่อเจรจาการหยุดยิง
พลเอก ณัฐพล แถลงว่า ช่วงเช้าก่อนการประชุมได้พบกับดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งมี พลเอก เตีย เซ็ยฮา เข้าร่วมด้วยการหารือเป็นไปอย่างฉันมิตรโดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซียยินดีที่เห็นการหยุดยิงและความคืบหน้าที่ดีในการหารือกรอบ GBC ไทย-กัมพูชาครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการปฏิบัติตามการหยุดยิง
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ยืนยันชัดเจนว่า ได้มีการหารือกับผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ แล้วและเห็นตรงกันว่า การแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นเรื่องทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของไทย ทางมาเลเซียเพียงช่วยประสานงานให้ทั้งสองฝ่ายหารือเพื่อแก้ไขปัญหากันเอง โดยมีอาเซียนสนับสนุน และยินดีที่การประชุม GBC ไทย-กัมพูชาเห็นพ้องกันในเรื่องของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวที่นำโดยผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียและประกอบด้วยผู้ช่วยทูตทหารจากประเทศสมาชิกอาเซียนเท่านั้น โดยสหรัฐอเมริกา และจีน จะไม่เข้าร่วม แต่ยินดีสนับสนุนตามที่ไทย-กัมพูชาเห็นสมควร
ขอขอบคุณมาเลเซียที่เป็นคนกลางและช่วยประสานงานให้การประชุมครั้งนี้ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีสหรัฐอเมริกา และจีนร่วมสังเกตการณ์เช่นเดียวกับการประชุมพิเศษเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 โดยเป็นระดับเอกอัครราชทูต
การประชุม GBC ครั้งนี้เป็นการติดตามประเด็นต่างๆ ที่ผู้นำไทยและกัมพูชาได้หารือเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้มีการหยุดยิง และตนเองได้ย้ำในที่ประชุมว่า ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายไทยปฏิบัติตามสิ่งที่ผู้นำทั้งสองเห็นชอบร่วมกันเรื่องการหยุดยิงอย่างเคร่งครัด แต่พบว่าฝ่ายกัมพูชามีการละเมิดหยุดยิง ซึ่งไทยใช้ความอดทนอดกลั้นที่สุด และตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น แม้ปัจจุบันสถานการณ์ชายแดนมีความสงบ แต่พบว่ากัมพูชายังเสริมกำลังเข้าไปในพื้นที่และยังมีการใช้อากาศยานไร้คนขับเข้ามาสอดแนมในพื้นที่ต่างๆ ของไทยซึ่งเป็นการกระทำที่ยั่วยุและอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลและข่าวที่บิดเบือน ไม่สร้างสรรค์ ไม่ช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเจรจาและฟื้นฟูความไว้วางใจ
สำหรับการประชุม GBC ครั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาระดับนโยบายได้แสดงให้เห็นความจริงใจต่อมาตรการหยุดยิงที่ได้ตกลงกันไว้ การกระทำที่ละเมิดการหยุดยิงที่กล่าวมาข้างต้น อาจเป็นการดำเนินการโดยพละการของหน่วยงานในพื้นที่ ดังนั้นเจตนารมณ์ที่เข้าประชุมครั้งนี้คือการหารือกับฝ่ายกัมพูชาอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความจริงใจและสุจริตของทั้งสองฝ่าย เพื่อหาแนวทางที่จะทำให้การหยุดยิงเดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน เพื่อนำสันติภาพและความสงบมาสู่ชายแดนไทย-กัมพูชาอีกครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของประชาชนสองประเทศ จะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติ
นอกจากข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันแล้ว ยังได้หยิบยกประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง ซึ่งฝ่ายกัมพูชายังไม่ตอบรับ โดยขอให้การประชุมครั้งนี้เน้นเฉพาะการหยุดยิงก่อนและขอให้นำไปหารือในการประชุม GBC ครั้งต่อไป คือ
1. ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความตึงเครียด จนนำไปสู่การใช้กำลังระหว่างกัน เรื่องนี้ฝ่ายไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับกัมพูชา ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่มีการปะทะและพื้นที่ อื่นๆ ตลอดแนวชายแดน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย
2. ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์ หรือออนไลน์สแกม ซึ่งส่งผลต่อประชาชนคนไทยและประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างกว้างขวาง
ขอย้ำอีกครั้งว่า สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้หารือและเห็นพ้องกัน จะเกิดผลที่เป็นรูปธรรมได้ ต้องอาศัยความร่วมมือและความจริงใจของสองฝ่าย ยืนยันว่าฝ่ายไทยจะยึดมั่นในการให้ความร่วมมือและการพูดคุยอย่างสุจริตใจ และจริงใจต่อไป บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะปฏิบัติตามเช่นเดียวกัน ท้ายที่สุด ไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน ย้ายหนีจากกันไม่ได้ เราเป็นสมาชิกของครอบครัวอาเซียนด้วยกัน หากทั้งสองประเทศสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วจะนำสันติภาพมาสู่พื้นที่ชายแดนและประชาชนของทั้งสองประเทศจะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติอย่างสงบสุขอีกครั้ง
ส่วนการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission : JBC) ไทย-กัมพูชา โดยกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าของเรื่อง ซึ่งมีการประชุมเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา และได้มีการนัดหมายจะมีการประชุมอีกครั้งในเดือนกันยายนนี้
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม GBC ว่า ผลการเจรจาถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่สามารถพูดคุย และเห็นพ้องต้องกันในการที่จะหยุดยิงโดยทันที โดยขอย้ำข้อสรุปสิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องต้องกันคือ
1. การหยุดยิงอย่างเคร่งครัดครอบคลุมอาวุธทุกประเภท คงกำลังไว้ที่ตั้งเดิมตั้งแต่วันที่หยุดยิงโดยไม่มีการเสริมกำลังเข้าไปเพิ่มเติม
2. การจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวจากประเทศสมาชิกอาเซียน
3. การหลีกเลี่ยงการกระทำยั่วยุในทุกรูปแบบ
4. การปฏิบัติตามหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องการส่งกลับร่างทหารที่เสียชีวิตต้องสมเกียรติ และจะส่งตัวทหารที่ถูกควบคุมทันทีที่การหยุดยิงเห็นผลโดยสมบูรณ์
5. การคงไว้ซึ่งช่องทางการเจรจาโดยใช้กลไกทวิภาคีอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาไม่ให้ลุกลามบานปลาย