นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน Kick off กิจกรรมผนึกกำลัง “มหาดไทย ตำรวจ สาธารณสุข” ปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดเชิงรุกทุกพื้นที่ (Thailand Zero Drugs) โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมในงานมากกว่า 3,000 คน และถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ไปยังทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ร่วมกัน Kick Off ส่งมอบรายชื่อผู้ติดยาเสพติด 188,626 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการบำบัดฟื้นฟู และผู้ค้ายาเสพติด 16,036 ราย ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายดำเนินคดี
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ผลลัพธ์ในวันนี้สะท้อนให้เห็นว่า หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง เราจะสามารถรวบรวมรายชื่อผู้ค้าและผู้เสพยาเสพติดในทุกจังหวัด รวมถึงกรุงเทพมหานคร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ตัวเลขที่ได้มาจากช่วงเริ่มต้นของการประกาศปฏิบัติการเท่านั้น แต่ก็สามารถใช้เป็นเป้าหมายในการดำเนินการต่อไป พร้อมทั้งนำหลักฐานที่มีมาประสานความร่วมมือในการจัดการปัญหาอย่างเด็ดขาด ซึ่งกลไกรัฐได้จับตามองและจะดำเนินการทันทีหลังจากนี้เป็นต้นไป
นายภูมิธรรม ได้เน้นย้ำว่า ประเทศไทยต้องปลอดยาเสพติดทั่วทั้งแผ่นดิน ภายใน 3 เดือนจากนี้ ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน อย่างน้อยที่สุดจะได้รู้ว่าการร่วมมือกันภายใน 3 เดือนผลจะออกมาเป็นอย่างไร และจะมีตัวชี้วัดสำคัญคือประชาชนในชุมชน ถ้าเขาบอกว่าไม่มียาเสพติดก็เข้าใจได้ว่าไม่มี แต่ถ้าเขาบอกว่ายังมี ถึงแม้ตัวเลขเราดี ก็ต้องทบทวนตรวจสอบว่ายังหลุดสายตาต้องดำเนินการต่อ ดังนั้นภายใน 3 เดือนจะเป็นจุดแตกหัก หรือความสำเร็จในการแก้ปัญหายาเสพติดของประเทศไทย หัวใจทั้งหมดอยู่ที่หมู่บ้านและชุมชน ด้วยการบูรณาการกลไกความร่วมมือทุกภาคส่วน โดยเฉพาะระดับพื้นที่ทั้ง 3 ฝ่าย คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด รวมถึงทหาร ตำรวจตระเวนชายแดนที่รับผิดชอบ Seal Stop Safe ชายแดนที่สกัดกั้นเบื้องต้นไม่ให้ยาเสพติดทะลักเข้ามาได้
โดยมอบแนวทางขับเคลื่อน 4 นโยบายที่สำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
1. มาตรการป้องกัน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดร่วมบูรณาการการทำงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และจัดกำลังสนับสนุนภารกิจร่วมกัน โดยเน้นการเสริมบทบาทของชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จำนวน 670,000 คน นำโดยกำนันและผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นกลไกหลักในการประเมินสถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่ ให้สร้างเครือข่ายชุมชนทำหน้าที่ “ตาสับปะรด” เพื่อให้รัฐสามารถติดตามและประเมินผลการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมใช้กลไกชุมชนในการเฝ้าระวังและลดโอกาสการเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดของประชาชนในพื้นที่ โดยยึดตามแบบอย่าง ธวัชบุรีโมเดล จังหวัดร้อยเอ็ด และท่าวังผาโมเดล จังหวัดน่าน และขอให้น้อมนำหลักการของกองทุนแม่ของแผ่นดิน มาเสริมสร้างพลังความดีในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
2. มาตรการป้องปราม ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบูรณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อจัดทำข้อมูลบัญชีพื้นที่ระบุหมู่บ้าน/ชุมชนที่เป็นพื้นที่เสี่ยง เพื่อนำมาตรการเชิงรุกเข้าควบคุมใช้ในการทำงานจัดระเบียบสังคม และควบคุมสถานที่เสี่ยง สถานบันเทิงที่เป็นแหล่งมั่วสุม ไม่ให้เป็นแหล่งกระจายยาเสพติด ตัดวงจรและสกัดกั้นการเข้าถึงยาเสพติดทุกพื้นที่ ตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด เพื่อยับยั้งโอกาสกระทำความผิด โดยกำชับและเน้นย้ำนายอำเภอใช้กลไก Seal Stop Safe ตรวจตราชายแดนทุกช่องทาง โดยเฉพาะช่องทางธรรมชาติให้มากขึ้นและขยายผลครอบคลุมทั่วประเทศ
3. มาตรการปราบปราม ยึดหลักเด็ดขาด โปร่งใส ไม่ละเว้น “ถ้าชาวบ้านรู้ แต่เจ้าหน้าที่ไม่รู้ ถือเป็นความผิด” สืบสวนขยายผลจับกุมผู้ค้าและผู้เกี่ยวข้องทุกระดับควบคู่การค้นหาผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในทุกพื้นที่ (Re X-ray) ทุกตารางนิ้ว บูรณาการร่วมกันระหว่างตำรวจ ทหาร หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ และกลไกฝ่ายปกครอง โดยย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้นำบูรณาการปราบปรามยาเสพติดบนข้อมูลสถานการณ์จริงตามบริบทและความเหมาะสมของพื้นที่ ใช้กลไกฝ่ายปกครองในพื้นที่สนับสนุนด้านการข่าว โดยเฉพาะผู้ค้าและผู้บงการ โดยใช้กลไกของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เข้ามาร่วมตรวจสอบเชิงลึกลงไปจนถึงต้นทางเพื่อยึดทรัพย์ผู้ค้าโดยเฉพาะรายใหญ่ๆ
4. มาตรการบำบัดฟื้นฟู ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อคืนคนคุณภาพสู่สังคม ผู้เสพต้องได้รับโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ยึดหลักการ “ผู้เสพคือผู้ป่วย” ส่งเข้าบำบัดรักษาแทนการดำเนินคดี ลดการตีตรา และสร้างโอกาสให้เรียนรู้ในอาชีพ ให้ผู้ผ่านการบำบัดได้กลับเข้าสู่สังคมอย่างเป็นสุขและเป็นธรรม รวมทั้งพัฒนาการการดำเนินงานศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคู่กับการยกระดับศูนย์บำบัดยาเสพติดในพื้นที่ให้มีมาตรฐานเดียวกัน โดยดำเนินการ 1 จังหวัด 1 สถานฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดเป็นอย่างน้อย และพัฒนาระบบติดตามผู้ผ่านการบำบัดอย่างต่อเนื่อง ให้มั่นใจว่าจะไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ำอีก
โดยได้กำหนดตัวชี้วัด (KPIs) 3 เดือน เพื่อให้เห็นความสำเร็จด้วยการกวาดล้างยาเสพติดอย่างเข้มข้นทั่วประเทศ ได้แก่
1. ผลการดำเนินงานในการสกัดกั้นยาเสพติดในจังหวัดชายแดนเปรียบเทียบกับการจับกุมทั้งประเทศคือ ผลการสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนมีจำนวนมาก ผลการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ภายในจะต้องมีจำนวนลดน้อยลง
2. จำนวนการจับกุมผู้ค้าและขยายผลสู่เครือข่าย คือ จับกุมผู้ค้าได้ต้องสามารถขยายผลถึงเครือข่ายได้
3. จำนวนผู้เสพที่เข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู คือ เมื่อได้ผู้เสพยาเสพติดจะต้องนำผู้เสพยาเสพติดทุกรายเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู
4. การดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด คือ เมื่อพบเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้นและทันที
5. การขยายเครือข่ายพลังชุมชน เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังยาเสพติด ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านชุมชน คือต้องทำให้หมู่บ้าน ชุมชน เป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดทั่วประเทศ
นายภูมิธรรม ย้ำว่า เชื่อมั่นว่าความมุ่งมั่นการดำเนินงานอย่างจริงจังของกลไกกระทรวงมหาดไทยและทุกระดับ พลังของการบูรณาการทุกหน่วยงานของประเทศในการแก้ไขปัญหายาเสพติด “ทุกหมู่บ้าน ชุมชน” จะต้องปลอดภัยจากยาเสพติด ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ทุ่มเททำงานอย่างมุ่งมั่นจริงจัง เราจะเอาชนะปัญหาร่วมกัน ด้วยการป้องกัน ป้องปราม ปราบปราม บำบัด ฟื้นฟู และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพติดทุกพื้นที่ “No Drugs No Dealers สู่ Zero Drugs Thailand ประเทศไทยต้องปลอดยาเสพติด”
นอกจากนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ยังได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (คณะกรรมการ ป.ป.ส.) ครั้งที่ 3/2568 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายชัยชนะ เดชเดโช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. สันติ ชัยนิรามัย ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า เข้าร่วม
โดยที่ประชุมได้มีข้อสั่งการให้เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำยาเสพติดออกนอกประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงาน และสั่งการให้มีการสร้างความเข้มแข็งให้แก่หมู่บ้าน/ชุมชนที่ยังเหลืออยู่ เพื่อยกระดับให้เป็นหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน รวมทั้งอนุมัติ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ และเห็นชอบหลักการ “โครงการยกระดับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติด 2568” โดยมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการประสานเพื่อให้การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด “No Drugs No Dealers” ผนึกกำลัง หมู่บ้าน/ชุมชน ปลอดยาเสพติด ระยะที่ 1 โดยมีเป้าหมายในการทำให้หมู่บ้าน/ชุมชนปลอดผู้ค้าและผู้เสพยาเสพติดภายใน 3 เดือน และมอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดทำแผนรองรับในระยะที่ 2 – 3 ต่อไป และเน้นย้ำว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องรับผิดชอบหากในพื้นที่ใดที่ยังมีสถานการณ์ยาเสพติดปรากฏชัดเจน เช่น มีแหล่งแพร่ระบาด หรือสถานการณ์ไม่ลดความรุนแรง
อีกทั้งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตาม ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร เป็นหน่วยเฉพาะกิจในการติดตามดำเนินการเป็นไปตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นไปตามที่รัฐบาลกำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นนโยบายเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการและได้มีแผนปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด แต่ปรากฏว่ายังพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดส่งผลให้มีการแพร่ระบาดในพื้นที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
โดยขาดการควบคุม กำกับดูแลของผู้ปฏิบัติที่รับผิดชอบ เพื่อให้การแก้ปัญหาบรรลุผลตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการติดตาม ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร