นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง ร.ต.ท.ภพชนก ชลานุเคราะห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นางสุดฤทัย เลิศเกษม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และคณะ ให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนผู้อพยพ ที่อาคารวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุรินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
นายภูมิธรรม กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เนื่องจากห่วงใยในความยากลำบากของทุกคน ในขั้นต้นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังพยายามดูแลประชาชนทุกส่วนอย่างเต็มที่ และพยายามที่จะพิทักษ์รักษาช่วยเหลือดูแลครอบครัวและบ้านของประชาชนเป็นอย่างดี มีความเห็นอกเห็นใจและเห็นว่าทุกข์ของพี่น้องประชาชนคือทุกข์อันดับหนึ่งที่เราต้องดูแลรวมทั้งทรัพย์สินพี่น้องประชาชนด้วย เข้าใจเป็นอย่างดีว่าขณะนี้ประชาชนทุกคนคิดถึงบ้านเป็นอย่างมาก รัฐบาลได้จัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน (อส.) ดูแลบ้านเรือนประชาชนอย่างดี พร้อมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือ และได้รับการสนับสนุนจากทุกส่วนราชการและภาคีเครือข่าย ทั้งวิทยาลัย มหาวิทยาลัย วัด บ้าน สถานศึกษา และสถานที่สาธารณะทั้งหมด ได้ร่วมกันอย่างเต็มที่ ขณะนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้ส่งเจ้าหน้าที่สำรวจความเสียหายของที่พักอาศัยแล้ว หากเสียหายรุนแรงรัฐบาลจะหาที่พักให้ก่อนและรีบจัดการซ่อมแซม ด้วยการระดมสรรพกำลังทั้งทหารช่าง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) อาชีวะ อาสาสมัคร คอยช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน นอกจากนี้กรมบัญชีกลางได้อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ได้แก่
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในกรณีเสียชีวิตและทุพพลภาพ : เจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ตำรวจ รายละ 10 ล้านบาท ประชาชนที่เสียชีวิตรายละ 8 ล้านบาท (จากเดิม 1 ล้านบาท) กรณีบาดเจ็บมาก : เจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ตำรวจ รายละ 5 แสนบาท ประชาชน 4 แสนบาท
2. ขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรณีฉุกเฉินและอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด เพิ่มเติมเป็นจังหวัดละ 100 ล้านบาท จาก 20 ล้านบาท
3. อนุมัติปฏิบัตินอกเหนือหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 โดยเป็นค่าใช้จ่ายในการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราว ปรับปรุงสถานที่ เครื่องอุปโภคบริโภคและเป็นค่าตอบแทนให้กับผู้ปฏิบัติงานทุกประเภทที่ได้รับมอบหมายให้ออกปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย
วันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานต่าง ๆ นำยานพาหนะพาผู้อพยพกลับภูมิลำเนาด้วยความปลอดภัย และดำเนินการตามระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ พร้อมกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่โดยทันทีและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนสูงสุดเป็นอันดับแรก
จากนั้น นายภูมิธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ผ่านระบบ Video Conference จากหอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสุรินทร์ โดยนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชุมผ่านระบบ Video Conference จากที่ว่าการอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
นายภูมิธรรม กล่าวว่า สถานการณ์ภายหลังจากพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เจรจาในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา ที่ประเทศมาเลเซีย มีผลการเจรจาเป็นที่น่ายินดี ด้วยจุดมุ่งหมายสำคัญคือ การรักษาสันติภาพให้ดีขึ้นเพื่อรักษาบ้านเมืองให้ชีวิตประชาชนได้มีสิ่งที่ดีที่สุด โดยต้องขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศที่เข้ามาดูแล พูดคุยและรักษาสันติภาพ รวมถึงกระทรวงมหาดไทยทั้งกรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ร่วมขับเคลื่อนและสนับสนุนบทบาทของพื้นที่อย่างเต็มกำลังตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ รวมถึงสำนักนายกรัฐมนตรี ในเรื่องเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย และด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ของกรมประชาสัมพันธ์
พร้อมกันนี้ได้มีข้อสั่งการ 5 แนวทาง การบริหารจัดการในอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด ได้แก่
1. อำนวยความสะดวกประชาชนกลับบ้าน โดยสามารถขอรับการสนับสนุนจากส่วนกลาง ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้สั่งการทุกส่วนงานให้พร้อมสนับสนุนทันทีแล้ว โดยขอให้วางแผนบูรณาการความร่วมมือทุกส่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชนกลับให้ได้เร็วที่สุด รวมถึงการอำนวยความสะดวกในด้านอื่นๆ หากอะไรที่ดำเนินการได้ตามกรอบกฎหมายให้ทำทันที และทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องเก็บบันทึกด้วยเพื่อจะได้มีหลักฐานเป็นประโยชน์ในการรักษาอธิปไตยของประเทศต่อไป
2. การสำรวจความเสียหาย สภาพความพร้อมบ้านพักอาศัย สาธารณูปโภค ให้พร้อมเข้าอยู่ โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการประปาส่วนภูมิภาคจะไม่เรียกเก็บสำหรับบ้านเรือนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งศูนย์พักพิงทั้งหมด ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2568 สำหรับการซ่อมแซมบ้านเรือนทุกส่วนราชการทั้งทหาร พลเรือน อาชีวะ สามารถช่วยเหลือโดยใช้เงินตามกรอบที่อนุมัติ รวมถึงเงินบริจาคที่ได้รับจากภาคส่วนต่าง ๆ โดยประสานมาที่ส่วนกลาง
3. การสำรวจประกอบอาชีพและสาธารณสุข ทั้งเรื่องสุขภาพกายใจ รวมถึงผู้ปฏิบัติงานทั้งทหาร ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน อาสาสมัคร เจ้าหน้าที่ทุกคนในพื้นที่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ต้องดูแลให้ครอบคลุมครบถ้วน
4. การเบิกจ่ายเยียวยาในภาวะที่ประชาชนเผชิญกับความทุกข์ ต้องใช้จ่ายอย่างมีคุณภาพ ครบถ้วน เต็มที่ บนเหตุผลและหลักการที่ต้องรักษาอธิปไตยของประเทศและชีวิตประชาชนอย่างเต็มที่ ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา รวมถึงผู้ปฏิบัติงานด้วย เพราะเป็นผู้เสียสละสำคัญ ทั้งแนวหน้าและแนวหลัง สมเกียรติภูมิแห่งความเป็นข้าราชการแห่งรัฐ ทหารกล้า ตำรวจของแผ่นดิน
5. ค่าตอบแทนชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จะดูแลให้ดีที่สุด โดยหากทำงานวันละ 6 ชั่วโมงขึ้นไปแต่ไม่ถึง 12 ชั่วโมง 120 บาทต่อวัน แต่หากเกินจาก 12 ชั่วโมงขึ้นไป 240 บาทต่อวัน รวมแล้วประมาณ 117 ล้านบาท เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับ ชรบ. หมู่บ้านต่าง ๆ ประมาณ 32,740 นาย ในพื้นที่
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ยังได้ติดตามและรับฟังข้อมูลและข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพื้นที่ โดยเฉพาะในประเด็นผลกระทบจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ต่อพลเรือนและพื้นที่พลเรือนของไทย รวมทั้งการวางทุ่นระเบิดของกองทัพกัมพูชา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศยังคงเดินหน้าร้องเรียนต่อเวทีสหประชาชาติและประชาคมโลก เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบและความยุติธรรมต่อประชาชนไทยผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งทหารไทยที่เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบกับระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาวางไว้ในดินแดนของไทย พร้อมย้ำว่าประเทศไทยเคารพ และพร้อมปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงทั้ง 13 ข้อ ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญเพื่อนำไปสู่ความสงบสันติในภูมิภาค แต่ความสูญเสียต่อพลเรือนที่เกิดขึ้นเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องเกิดความรับผิดชอบ จึงต้องเดินหน้าการทำงานใน 2 ส่วนนี้คู่ขนานกันไป
นอกจากนี้ นายภูมิธรรม พร้อมคณะ ยังได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โดยมี พญ.วรวรรณ กอปรกิจงาม ผู้อำนวยการโรงพยาบาล สรุปข้อมูลเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24-25 กรกฎาคม 2568 ที่ทหารกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 ทำให้อาคารและบริเวณโรงพยาบาลได้รับความเสียหายมูลค่าความเสียหายประมาณ 45 ล้านบาท
จากนั้นลงพื้นที่บำรุงขวัญกำลังใจ ชรบ. และให้กำลังใจประชาชน โดยนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางสุดฤทัย เลิศเกษม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบถุงยังชีพแก่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.)ณ หอประชุมโรงเรียนพนมดงรักวิทยา อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จากนั้น ได้เดินทางต่อไปยังศาลากลางบ้าน บ้านละเอาะ หมู่ 4 ตำบลจีกแดก อำเภอพนมดงรัก เพื่อรับฟังสภาพความเป็นอยู่จริงของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน พร้อมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้แก่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านและชาวบ้าน รวมจำนวน 65 ชุด โดย นางสาวจิราพร ย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
ซึ่งนายภูมิธรรม ได้กล่าวย้ำว่า สถานการณ์เหตุปะทะที่เกิดขึ้นทำให้เราทุกคนในฐานะ “คนไทย” พร้อมใจกันดำรงรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติ และสิ่งสำคัญที่สุด คือ “ชีวิตของคนไทยทุกคนต้องได้รับการปกป้องและคุ้มครองอย่างปลอดภัยสูงที่สุด” รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยไม่เคยทอดทิ้งประชาชนและพร้อมสนับสนุนทุกภารกิจให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และทุกคนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัย และสามารถกลับมาดำรงชีวิตได้อย่างปกติให้เร็วที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชรบ. ได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความเสียสละโดยไม่มีค่าตอบแทนใด ถือเป็นเกียรติยศต่อชีวิตและเป็นบุญคุณของประเทศที่ประชาชนช่วยกันทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการรับผิดชอบพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง และในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า จะเสนอเรื่องค่าตอบแทน ชรบ. ผู้ปฏิบัติงานในเหตุการณ์นี้เข้าที่ประชุมยืนยันว่าจะดูแลทุกคนอย่างดีที่สุดและขณะนี้หน้าที่พวกเรายังไม่สิ้นสุด เราต้องทำงานอย่างแข็งขันและเต็มที่ในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
สำหรับพื้นที่อำเภอพนมดงรักได้รับผลกระทบ ตั้งแต่วันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568 ประชาชนได้รับผลกระทบ 37,000 คน ใน 55 หมู่บ้าน บ้านเรือนเสียหาย 26 หลัง มีศูนย์พักพิงพื้นที่อำเภอเมืองสุรินทร์ อำเภอปราสาท 27 แห่ง โดยอำเภอได้จัดเวรยามชุด ชรบ. 660 นาย ทั้งกลางวันและกลางคืน ภายหลังเหตุการณ์ จากการสำรวจพื้นที่พบมีกระสุนปืนใหญ่ตก 228 ลูก ที่ยังไม่แตก 10 ลูก ขณะนี้เก็บกู้ไปแล้ว 1 ลูก โดยหน่วยเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด (Explosive Ordnance Disposal : EOD) จะดำเนินการส่วนที่เหลือต่อไป
และจากกรณีล่าสุด (9 ส.ค. 68) กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 111 รวม 3 นาย ที่ลาดตระเวนพื้นที่บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดได้รับบาดเจ็บ หลังจากได้รับรายงานจากคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) และกองทัพภาคที่ 2 แล้ว
นายภูมิธรรม ได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 ดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด และขอแสดงความเสียใจกับทหารที่ได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ โดยได้ให้กระทรวงการต่างประเทศเก็บรวบรวมข้อมูลและจะนำเป็นประเด็นพูดคุยในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-กัมพูชา เพื่อช่วยกันแก้ปัญหา พร้อมกำชับให้การลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของพื้นที่กระทำด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ประท้วงเหตุการณ์ดังกล่าว ระบุว่า ตามที่เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 111 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนในดินแดนของไทยในพื้นที่บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้มีการเก็บกู้ทุ่นระบิดเรียบร้อยแล้ว ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล นั้น หลักฐานทุ่นระเบิดที่พบสอดคล้องกับผลการตรวจสอบการพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกองทัพก่อนหน้านี้ว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ ดังนั้น การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่นี้ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และนับเป็นครั้งที่ 3 ที่กองกำลังไทยประสบเหตุการณ์เช่นนี้ในเวลาเพียงไม่ถึง 1 เดือนจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
การกระทำดังกล่าวเป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรงต่อการดำเนินการตามมาตรการหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ในการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไทยจึงขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาหยุดการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) โดยทันที และให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดนตามที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันภายในกรอบทวิภาคี และตามที่ฝ่ายไทยได้เสนอต่อที่ประชุม GBC ที่ผ่านมา แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ตอบสนอง
สำหรับที่จังหวัดอุบลราชธานี นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่บ้านเรือนได้รับความเสียหาย และตรวจสอบหลุมหลบภัย
ณ ชุมชนบ้านนาสามัคคี อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
นางสาวธีรรัตน์ เปิดเผยว่า ภายหลังจากฝ่ายความมั่นคงได้อนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าพื้นที่ได้อย่างปลอดภัยก็มีประชาชนเริ่มทยอยกลับสู่ภูมิลำเนาซึ่งพบว่าความเสียหายเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ทั้งจากแรงระเบิด และผลกระทบอื่นๆ โดยกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้ ปภ. ร่วมกับจังหวัดและ อปท. ลงพื้นที่สำรวจและประเมินค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมตามระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน หากบ้านเรือนที่มีมูลค่าความเสียหายเกินกว่าหลักเกณฑ์ ยังได้ผ่อนผันข้อระเบียบเพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้ และยังมีเงินจากกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจากสำนักนายกรัฐมนตรีที่สามารถมอบความช่วยเหลือได้ทันทีสูงสุด 230,000 บาทต่อหลัง รวมถึงหน่วยอื่นๆ บูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชน ปัจจุบันหลายพื้นที่ได้สำรวจความเสียหายเสร็จสิ้นแล้ว
และอยู่ระหว่างประมวลข้อมูลส่งไปยังส่วนกลาง
จังหวัดอุบลราชธานี ยังคงมีผู้อพยพกลุ่มเปราะบางที่พักอยู่ในศูนย์พักพิงเหลือเพียงแห่งเดียว ซึ่งเป็นผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น ผู้ป่วยฟอกไต รวมถึงบางส่วนที่มาจากอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ที่ไม่สามารถเปิดให้บริการรักษาพยาบาลได้ จึงได้สั่งการให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีดูแลอย่างใกล้ชิดจนกว่าจะพร้อมกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ นางสาวธีรรัตน์ ได้ร่วมส่งมอบสิ่งของบริจาคให้กับกำลังพลทหาร ตำรวจ อส. ชรบ. และประชาชน เพื่อส่งมอบต่อเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่และประชาชนใน “โครงการฝึกวิชาชีพผู้ต้องขังด้านทักษะพิเศษด้านดนตรีและการแสดง” โดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิธี ณ โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่ง พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นการให้กำลังใจและคลายความกังวลแก่ผู้ต้องขังที่ห่วงใยความปลอดภัยของครอบครัวในพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน
นางสาวธีรรัตน์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี จัดกิจกรรมเสริมสร้างสุนทรีย์เพื่อบรรเทาความเครียดและความกังวลของประชาชนที่พักอาศัยยังศูนย์พักพิงในพื้นที่ ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นโอกาสดีที่จังหวัดศรีสะเกษได้ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมโดยกรมราชทัณฑ์จัดขึ้น เพื่อร่วมสร้างขวัญกำลังใจประชาชน ผ่อนคลายบรรเทาความทุกข์ก่อนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา
ทั้งนี้ในกิจกรรมมีการแสดงพิเศษชุด “ขวานไทยใจหนึ่งเดียว” จากวง “ฟ้างามขามแก่น” เรือนจำกลางขอนแก่น การแสดงวงดนตรี “KP Band” เรือนจำกลางคลองไผ่ และมินิคอนเสิร์ตจาก “วงมีนบุรี” เรือนจำพิเศษมีนบุรี นำโดยศิลปิน “เสก โลโซ” มาร่วมแสดงมินิคอนเสิร์ตให้กับประชาชนได้รับชมอีกด้วย
สำหรับผลกระทบจากประกาศห้ามบินอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (โดรน) ทุกประเภททั่วราชอาณาจักร ส่งผลกระทบกับการบินโดรนเพื่อการเกษตร สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 3 ยังคงห้ามทำการบิน โดรน ทุกประเภททั่วราชอาณาจักร จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยทางการบิน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป CAAT จะผ่อนปรนอนุญาตเฉพาะการบินโดรนเพื่อการเกษตร ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ได้แก่
• ผู้บังคับโดรนและตัวโดรนต้องขึ้นทะเบียนกับ CAAT ครบถ้วน และยังไม่หมดอายุ
• ได้รับอนุญาตปฏิบัติการบินเพื่อการเกษตรจาก CAAT
• ไม่มีประวัติฝ่าฝืนหรือถูกเพิกถอนสิทธิการบิน
• ทำการบินได้เฉพาะในพื้นที่เกษตรของตน หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่
• แจ้งการบินล่วงหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ uasportal.caat.or.th หรือแอปพลิเคชัน UAS Portal ของ CAAT และอีเมล ศตอ.น. antidrone.police@gmail.com และตำรวจท้องที่ หรือกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน
• ความสูงการบินไม่เกิน 30 เมตร
• ทำการบินได้ระหว่างเวลา 06.00–18.00 น. เท่านั้น (ห้ามบินกลางคืน)
• ใช้เพื่อโปรย หว่าน สารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ สารเคมี เพื่อการเกษตร น้ำ หรือปุ๋ยเท่านั้น ห้ามใช้เพื่อถ่ายภาพหรือสำรวจ
ทั้งนี้ CAAT ได้กำหนดพื้นที่ห้ามทำการบินโดรนทุกประเภทโดยเด็ดขาด ได้แก่ พื้นที่หวงห้าม/อันตรายตามที่ประกาศใน AIP Thailand (16 พื้นที่หลัก เช่น ศรีสะเกษ นครสวรรค์ จันทบุรี ตราด ราชบุรี นครราชสีมา อุบลราชธานี ฯลฯ) จังหวัดชายแดนที่ประกาศกฎอัยการศึก หรือมีกองกำลังปฏิบัติการภาคพื้น (7 จังหวัด) อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี อำเภอเมือง จังหวัดระยอง รัศมี 9 กิโลเมตรรอบสนามบินและจุดขึ้นลงอากาศยานทุกแห่ง และพื้นที่ที่หน่วยงานความมั่นคงประกาศเป็นการเฉพาะเพิ่มเติม
ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเจ้าหน้าที่มีอำนาจทำลายหรือตอบโต้อากาศยาน รวมถึงใช้ระบบต่อต้านอากาศยานไร้นักบิน (Anti-Drone System) ได้