นักวิชาการแนะรื้อใหญ่ แยกประเภทมหาวิทยาลัยให้ชัด หลังพบ ‘ทุนมนุษย์ไทย’ ตกต่ำหลายด้าน

กรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) องค์การยูนิเซฟ และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จัดทำรายงาน “การพัฒนาทุนมนุษย์ในประเทศไทย: การวิเคราะห์ช่องว่าง อุปสรรค และทางเลือกเชิงนโยบาย” โดยแสดงความกังวลต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ในประเทศไทย อาทิ ภาวะทุพโภชนาการในเด็กเล็กอายุ 2-5 ปี ทักษะการอ่านและการคำนวณของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมตามช่วงวัย มีคนอายุ 25-34 ปี เพียงร้อยละ 59 ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย มีวัยทำงานเพียง 3% เท่านั้น ที่ได้รับการฝึกอบรมหลังสำเร็จการศึกษา และพบว่าวุฒิการศึกษาไม่สอดคล้องกับความต้องการตลาดแรงงาน มีแรงงานมากกว่าครึ่งทำงานไม่ตรงสาย ฯลฯ พร้อมทั้งเสนอให้มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวและเน้นสร้างทักษะที่จำเป็นให้กับนักศึกษา

ผศ.ชล บุนนาค ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอของรายงานฯ ที่ระบุถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยที่จะต้องมีการปรับตัว ยกเลิกหลักสูตรที่ไม่จำเป็น และหันมาเน้นการสร้างคนที่มีความพร้อมจะเรียนรู้ และมีทักษะที่จำเป็น เช่น การทำงานเป็นทีม การสื่อสาร หรือทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ เพื่อให้บัณฑิตมีความยืดหยุ่นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ปัจจุบันระบบอุดมศึกษาของไทย ยังมีความสับสนในตัวเองอยู่ว่า ตกลงแล้วเราจะผลิตปัญญาชนเพื่อการพัฒนาประเทศ หรือจะผลิตแรงงานเพื่อเข้าสู่ตลาดกันแน่ ซึ่งในยุโรปจะมีการแยกสถาบันการศึกษาออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. มหาวิทยาลัยทั่วไปที่เน้นวิชาการและวิจัย (University/Research University) เน้นการเรียนการสอนเชิงวิชาการและการวิจัยขั้นพื้นฐานเป็นหลัก เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ และผลักดันความก้าวหน้าทางวิชาการในระดับสากล 2. มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (University of Applied Sciences) หรือโพลีเทคนิค (Polytechnic) ที่มุ่งเน้นการศึกษาเฉพาะเจาะจงไปที่สาขาอาชีพเป็นสำคัญ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีทักษะตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการแยกประเภทมหาวิทยาลัยเช่นนี้ จะเหมาะสมต่อการพัฒนาทุนมนุษย์และทรัพยากรบุคคลและเป็นทางออกของประเทศไทยได้

ผศ.ชล กล่าวว่า หากรัฐบาลตัดสินใจปฏิรูปมหาวิทยาลัยครั้งใหญ่ ด้วยการดำเนินการตามแนวทางนี้ ก็จะช่วยให้มหาวิทยาลัยแต่ละประเภทสามารถทุ่มเททรัพยากรเพื่อตอบวัตถุประสงค์นั้นๆ ได้อย่างชัดเจน เช่น มหาวิทยาลัยวิจัยก็จะวิจัยเชิงลึกได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการสร้างความสัมพันธ์กับภาคอุตสาหกรรม หรือต้องแบ่งกำลังคนไปดูแลทั้งงานวิจัยและการสอนแบบประยุกต์ นักศึกษาเองก็จะเลือกได้อย่างชัดเจนว่าจะศึกษาแนวทางใด ขณะที่ตลาดแรงงานก็จะชัดเจน คือหากต้องการคนที่พร้อมทำงานได้ทันทีก็จะรับผู้จบจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์ แต่หากต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ต้องการความรู้เชิงลึกก็จะรับผู้จบจากมหาวิทยาลัยวิจัย

รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณ สำหรับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์เพื่อให้คุณภาพและมาตรฐานที่สูง แต่หลังจากนั้นควรส่งเสริมให้แต่ละสถาบันแข่งขันกันเอง ทั้งในด้านการดึงดูดนักศึกษาและการร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนส่วนมหาวิทยาลัยวิจัย รัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณวิจัยอย่างมียุทธศาสตร์ โดยไม่ใช้วิธีแบบเบี้ยหัวแตก หรือการให้งบประมาณจำนวนน้อยๆ กระจายไปหลายส่วนเหมือนที่ผ่านมา

นอกจากแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องระบบการศึกษา การฝึกอบรม รวมถึงระบบที่เกี่ยวข้องกับตัวเด็กและเยาวชน ที่นำเสนอเอาไว้ในตัวรายงานแล้ว นักวิชาการธรรมศาสตร์รายนี้ กล่าวว่า ปัญหารากฐานสำคัญต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ และทรัพยากรบุคคลที่ต้องแก้ไข คือปัจจัยทางเศรษฐกิจ การมองเรื่องทรัพยากรมนุษย์จำเป็นต้องมองไปที่สุขภาวะของครอบครัวและชุมชนด้วย แยกกันไม่ได้ หากเด็กเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่พร้อม หรือได้รับการเลี้ยงดูโดยผู้สูงอายุอย่างตามมีตามเกิด ก็แทบจะเป็นไปไม่เลยที่เด็กจะได้รับการสนับสนุนให้มีผลการเรียนที่ดี สาเหตุที่ดึงพ่อแม่ออกจากบ้านก็คือปัจจัยทางเศรษฐกิจ

ผมคิดว่ารายงานฉบับนี้ ยังขาดการพูดถึงปัญหาที่เป็นรากฐานอย่างแท้จริง เช่น อัตราค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่เพียงพอ จนเป็นเหตุให้พ่อแม่และผู้ปกครองส่วนใหญ่ต้องทำงานหนักล่วงเวลาจนไม่มีเวลาดูแลบุตรหลานได้อย่างเต็มที่ การขาดแคลนงานที่มีมูลค่าสูงในชนบทจนเป็นผลให้ทำให้คนต้องย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานในเมืองและทิ้งลูกหลานไว้กับผู้สูงอายุ ฯลฯ

ผศ.ชล กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของภาวะทุพโภชนาการเด็กเล็ก อายุ 2-5 ปี ว่า นอกจากความรู้ด้านโภชนาการ ที่ต้องส่งเสริมกันต่อไปแล้ว ปัญหานี้ยังสัมพันธ์กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงโดยตรงกับระบบอาหารและเกษตรกรรมของประเทศอีกด้วย ปัจจุบันอาหารที่ดีมีราคาแพง คนจำนวนไม่น้อยจึงเข้าไม่ถึงอาหารที่ดี ซึ่งมีผลต่อการทำลายรากฐานการพัฒนามนุษย์อย่างแท้จริง รวมทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยอื่นๆ ที่ผลักดันเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา อาทิ อบายมุข สิ่งเสพติด การขาดแคลนพื้นที่สาธารณะหรือแหล่งเรียนรู้นอกโรงเรียน ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของสุขภาวะครอบครัวและชุมชนทั้งสิ้

สำหรับประเด็นมีวัยแรงงานเพียง 3% ที่ผ่านการฝึกอบรมหลังสำเร็จการศึกษา ส่วนตัวมองว่าก็เป็นผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเช่นกัน กล่าวคือสภาพการทำงานที่บีบคั้นและนโยบายของบริษัท โดยเฉพาะในบริษัทขนาดเล็กที่ไม่มีทรัพยากรมากเพียงพอจึงไม่สามารถเปิดช่องให้พนักงานไปฝึกอบรมได้ ขณะที่พนักงานก็ต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อหารายได้ให้เพียงพอจนไม่มีเวลาในการพัฒนาตนเอง ฉะนั้นหากจะคาดหวังให้พนักงานไปพัฒนาตนเองเพียงอย่างเดียวโดยไม่มองถึงปัญหาเหล่านี้ แนวทางดังกล่าวก็คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง