“สุชาติ” นำทีมพาณิชย์เยือนสวิสฯ เตรียมใช้ประโยชน์ FTA ไทย-EFTA เดินหน้าขยายตลาดส่งออกสินค้าช่วยผู้ประกอบการไทย

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์เดินทางเยือนสมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ 8–12 สิงหาคม 2568 หารือกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทรายใหญ่ในสมาพันธรัฐสวิสที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าไทย เพื่อผลักดันให้มีการนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มมากขึ้น การใช้ทุกช่องทางในการเพิ่มความร่วมมือทางการค้า ใช้ประโยชน์จากการลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-EFTA ที่ได้ลงนามกันไปแล้ว และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้  เพื่อขยายการค้าและการหาตลาดส่งออกใหม่ๆ ให้กับผู้ส่งออกของไทยเพื่อรับมือผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ

โดยภารกิจแรก นายสุชาติ พร้อมด้วยนายพรวิช ศิลาอ่อน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และนางสาวจีรนันท์ หิรัญญสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ได้พบปะกับ Mr. Peter Singer, CFO & Member of the Executive Board และ Mr. Christoph Bertschi, Head of Commodity Foods พร้อมคณะผู้บริหารของ Stutzer & Co. AG เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ณ สำนักงานใหญ่ บริษัท Stutzer & Co. AG เมืองซูริค ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้นำเข้าสินค้าอาหารรายสำคัญ

นายสุชาติ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์มุ่งส่งเสริมสินค้าอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักในตลาดสวิสฯ และใช้โอกาสนี้ผลักดันการขยายปริมาณและความหลากหลายของการนำเข้าสินค้าจากไทย พร้อมเชิญชวนให้ใช้ประโยชน์จากความตกลง FTA ไทย–EFTA ที่เพิ่งลงนามและอยู่ระหว่างกระบวนการให้สัตยาบัน เพื่อให้มีผลบังคับใช้  ซึ่ง FTA ไทย–EFTA จะช่วยลดภาษีนำเข้าและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสวิสฯ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะช่วยกำกับคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด ขอให้มั่นใจได้หาก FTA มีผลใช้บังคับจะยิ่งช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั้งสองประเทศได้ขยายตลาดการค้าและเพิ่มการลงทุนร่วมกันมากยิ่งขึ้น

Stutzer ถือเป็นพันธมิตรที่สำคัญนำเข้าสินค้าอาหารไทยมานานกว่า 30 ปี เช่น ข้าว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กะทิ สับปะรดกระป๋อง ซอสปรุงรส และเครื่องดื่ม เป็นต้น การหารือครั้งนี้ได้ขอให้บริษัทขยายการนำเข้าสินค้าไทยทั้งในเชิงปริมาณและความหลากหลายและหากมีแผนจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์สินค้าอาหารไทย ทางกระทรวงยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และหากบริษัทประสบปัญหาทางการค้าหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสถานทูตพาณิชย์ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ได้โดยตรงเพราะเราตั้งใจมาสนับสนุนสินค้าไทยให้เติบโตในตลาดโลก

สำหรับภาพรวมการค้าในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปยังสมาพันธรัฐสวิส มูลค่า 135,934.01 ล้านบาท คิดเป็น 36% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปยังสมาพันธรัฐสวิส โดยสินค้าหลัก ได้แก่ อาหารกระป๋อง ข้าว อาหารแห้ง อาหารแช่แข็งและเครื่องดื่ม ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

และในวันที่ 9 สิงหาคม 2568 นายสุชาติ พร้อมคณะ ได้ร่วมกิจกรรมส่งเสริมโอกาสทางการค้าและภาพลักษณ์ธุรกิจร้านอาหารไทย พร้อมมอบตรา Thai SELECT โฉมใหม่ ติดดาวให้แก่ร้านอาหารไทยรายใหม่ 8 แห่ง ได้แก่

ร้าน Roi-Et Thai Restaurant ที่เมืองซูริค

ร้าน Little Thai ที่เมืองอินเตอร์ลาเคน

ร้าน Siam Thai Catering & Take Away ที่เมืองบูคส์

ร้าน Phanat Thai Restaurant ที่เมืองลูเซิร์น

ร้าน Thai Lemon Grass ที่เมืองซูริค

ร้าน Thai Food Corner ที่เมืองซูริค

ร้าน Phuket Thai Food ที่เมืองซูริค

ร้าน Zentral Thai Restaurant ที่เมืองซูริค

นายสุชาติ ระบุว่า ร้านอาหารไทยถือเป็น Soft Power ด้านอาหาร ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทย และเป็น หน้าต่าง ให้ชาวต่างชาติเข้าถึงวัฒนธรรมไทย การมอบตรา Thai SELECT โฉมใหม่ ซึ่งมี 4 ประเภท (Casual, 1 ดาว, 2 ดาว และ 3 ดาว) จะช่วยยกระดับมาตรฐานร้านอาหารไทยและสามารถสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยในสมาพันธรัฐสวิสที่ได้รับตรา Thai SELECT รวม 22 ร้าน

ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยสะท้อนว่า จุดแข็งของอาหารไทยคือรสชาติไทยแท้ ใช้วัตถุดิบจากประเทศไทย เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ที่เป็นเอกลักษณ์และไม่มีใครเลียนแบบได้ อาหารไทยยังเป็นที่รู้จักจากรุ่นสู่รุ่น แต่ปัญหาหลักคือ การขาดแคลนพ่อครัวแม่ครัวไทยที่มีฝีมือปรุงอาหารรสชาติไทยแท้ จึงอยากให้รัฐบาลไทยช่วยผลักดันให้พ่อครัวแม่ครัวไทยเข้ามาทำงานในสมาพันธรัฐสวิสได้ เพื่อคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของรสชาติอาหารไทยแท้ ทั้งนี้ นายสุชาติรับว่าจะนำเรื่องนี้หารือร่วมกับกระทรวงแรงงานและกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อหาทางออก เช่น การจัดโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาฝึกงานด้านอาหารไทย การผลักดันให้สาขาเชฟอาหารไทยเป็นอาชีพขาดแคลนในสมาพันธรัฐสวิส การใช้ตรา Thai SELECT ให้เป็นแต้มต่อในการดำเนินและขยายธุรกิจร้านอาหารไทย รวมถึงการต่อยอดแอปพลิเคชันที่รวมข้อมูลร้าน Thai SELECT ทั่วโลก เชื่อมต่อ Search Engine และระบบจองร้าน พร้อมบอกเล่าคุณสมบัติของสมุนไพรไทยและวัตถุดิบสำคัญ เพื่อทำการตลาดเชิงรุก ให้ตรานี้เป็นที่รู้จักและเข้าถึงง่ายในระดับโลก

จากนั้นยังได้สำรวจตลาดสินค้าไทย และหารือกับผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ต New Asia Market และผู้นำเข้าอาหารและเครื่องดื่มรายสำคัญ ได้แก่ Mr. Paolo Mazzola กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท The Asia Company S.A. ที่นครซูริค โดยนายสุชาติ ระบุว่า สินค้าไทยครองสัดส่วนประมาณ 50% ของสินค้าที่จำหน่ายในร้าน และเป็นสินค้าขายดีจำนวนมาก อาทิ ข้าวหอมมะลิ เครื่องปรุงรส ซอส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนม เครื่องแกง กะทิ วุ้นเส้น น้ำตาล น้ำปลาร้า แคปหมู ไข่เค็ม ครกตำอาหาร รวมถึงผลไม้สด เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ มังคุด กล้วยน้ำว้า เงาะ ลำไย พริกสด ผักชีไทย แก้วมังกร ใบโหระพา คะน้า มะละกอและทุเรียน

ในโอกาสนี้ยังได้ขอให้ผู้บริหารพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าอาหารจากไทย เนื่องจากมีความหลากหลายและคุณภาพสูง อีกทั้งในอนาคตสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลง FTA ไทย–EFTA ที่เพิ่งลงนาม ซึ่งจะช่วยลดอัตราภาษีนำเข้า ทำให้ต้นทุนสินค้าจากไทยถูกลง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน พร้อมกันนี้ ยังได้รับฟังปัญหาอุปสรรคในการนำเข้า เพื่อหาทางสนับสนุนและแก้ไขร่วมกัน

นอกจากนี้ได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ประสานความร่วมมือกับ New Asia Market ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยและอาหารไทย เพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างการรับรู้ พร้อมเชิญชวนให้ผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าร่วมงานเจรจาจับคู่ธุรกิจและเลือกชมสินค้าใน งาน THAIFEX–Anuga Asia 2026 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารระดับโลก จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ และยังได้ชวนไปร่วมงาน ANUGA 2025 ระหว่างวันที่ 4–8 ตุลาคม 2568 ที่เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ส่งออกอาหารไทย เข้าร่วมกว่า 120 บริษัท

นอกจากการส่งเสริมขยายตลาดวัตถุดิบและอาหารไทยแล้ว เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2568 นายสุชาติ พร้อมคณะยังได้เข้าพบผู้บริหารบริษัท Gübelin ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวสวิสก่อตั้งตั้งแต่ปี 1854 มีชื่อเสียงครอบคลุมธุรกิจร้านเครื่องประดับ นาฬิกา และสถาบันอัญมณีศาสตร์ Gübelin Gem Lab ซึ่งมีศูนย์ตรวจสอบ อัญมณีในหลายประเทศ รวมถึงกรุงเทพฯ เพื่อหารือความร่วมมือด้านการค้าพลอยและเครื่องประดับกับประเทศไทย  ดึงพลอยไทยสู่แบรนด์หรูระดับโลก โดยได้ชี้โอกาสให้บริษัทนำเข้าพลอยสีและวัตถุดิบอัญมณีคุณภาพสูงจากไทย พร้อมเชิญร่วมงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair (9–13 กันยายน 2568) และเทศกาลนานาชาติพลอยและเครื่องประดับจันทบุรี (5–10 ธันวาคม 2568) เพื่อพบผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยโดยตรง ซึ่งบริษัทแสดงความสนใจมองหา supplier รายใหม่จากไทย พร้อมโชว์สร้อยที่ใช้พลอยจากประเทศไทย และยืนยันคุณภาพเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก

นอกจากนี้ยังได้เข้าพบผู้บริหาร Migros Geneva สาขา Migros Balexert ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในสมาพันธรัฐสวิส เพื่อผลักดันการนำเข้าสินค้าไทยเพิ่ม โดยใช้ประโยชน์จากความตกลง FTA ไทย–EFTA

นายสุชาติ เปิดเผยว่า สินค้าไทยหลายชนิดได้รับความนิยมสูง โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิออร์แกนิคจากศรีสะเกษที่มีการเล่าเรื่องราว (storytelling) จนขายได้ราคาสูง เหมาะกับผู้รักสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีสินค้าเครื่องแกง ซอสปรุงรส กะทิ เส้นหมี่ สับปะรดกระป๋อง และน้ำจิ้มไก่ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดท้องถิ่น

ทั้งนี้ ได้เชิญชวนให้ Migros เข้าร่วมงานแสดงสินค้าอาหาร THAIFEX – Anuga Asia 2026 เพื่อคัดเลือกสินค้าและพบปะผู้ผลิตไทยรวมถึงจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายให้มากขึ้น โดยให้ทูตพาณิชย์ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ทั้งการเจรจาจับคู่ธุรกิจและการเยี่ยมชมแหล่งผลิตในประเทศไทย

สำหรับผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าไทยสามารถติดต่อกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ที่เว็บไซต์ www.ditp.go.th หรือสายด่วน 1169

ข่าวที่เกี่ยวข้อง