สธ.–คลัง จับมือ MOU แลกเปลี่ยนข้อมูล ขับเคลื่อนนโยบายการเงินและเศรษฐกิจสุขภาพ ด้วยฐานข้อมูลแม่นยำ ปลอดภัย

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงการคลังกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อบูรณาการข้อมูลในการขับเคลื่อนนโยบายการเงิน การคลัง และเศรษฐกิจสุขภาพ รวมถึงการวิเคราะห์ ติดตาม ประเมินสภาวะเศรษฐกิจและสุขภาพ ตลอดจนความมั่นคงทางการคลังของรัฐ โดยมีผู้บริหารจากทั้งสองกระทรวงร่วมเป็นสักขีพยาน

นพ.โอภาส กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือภายใต้ขอบเขตการพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub ตามนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และการบูรณาการข้อมูลร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยในการจัดการและสำรองข้อมูล รวมถึงความปลอดภัยในการเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายมาตรการการเงิน การคลัง และเศรษฐกิจสุขภาพ นำไปสู่การยกระดับบริการสุขภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

โดยกระทรวงสาธารณสุขจะจัดทำฐานข้อมูลด้านการเงินการคลังสาธารณสุขให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ ติดตาม และประเมินสภาวะเศรษฐกิจและสุขภาพ ขณะที่กระทรวงการคลังจะบูรณาการข้อมูลสุขภาพ พร้อมกำหนดมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในการบริหารจัดการและสำรองข้อมูล รวมทั้งการให้บริการที่เหมาะสม ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างสองกระทรวงในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณสุขและการคลังของประเทศ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนอย่างยั่งยืน

ด้านนายลวรณ กล่าวว่า ความร่วมมือในการบูรณาการข้อมูลครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญของทั้ง 2 หน่วยงานในการใช้ข้อมูลขับเคลื่อนนโยบาย (Data-Driven Policy) และยกระดับองค์กรไปสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนการทำงานด้วยข้อมูล (Data-Driven Organization) อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยกระทรวงการคลังจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) ให้ครอบคลุมและลึกมากขึ้น เพื่อให้รู้จักคนไทยดียิ่งขึ้นจากข้อมูลที่มี ซึ่งจะช่วยให้สามารถออกแบบนโยบายได้เฉพาะเจาะจงและเหมาะสมกับแต่ละกลุ่มและพื้นที่ (Tailor-made Policy) ดังนั้น ความร่วมมือครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการบูรณาการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของกระทรวงการคลัง แต่ยังส่งผลต่อการออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิภาพ แม่นยำ และคุ้มค่า เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างทั่วถึง พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และเสริมสร้างความมั่นคงทางการคลังในระยะยาว

นายลวรณ กล่าวย้ำว่า ถึงเวลาแล้วที่เศรษฐกิจไทยจะไม่เติบโตในเชิงปริมาณเท่านั้น หากแต่จะเติบโตในเชิงคุณภาพด้วย เพราะเราจะมีข้อมูลที่ช่วยให้คนไทยทุกคน มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง