“มาริษ” พาคณะทูต 33 ประเทศ ลงพื้นที่ภูมะเขือดูเรื่องจริงกัมพูชาวางทุ่นระเบิดละเมิดออตตาวา

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ และนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทยและผู้แทนกองทัพบก นำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด จำนวน 33 ประเทศ 1 องค์กร 2 องค์การระหว่างประเทศ รวมถึงสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อสังเกตการณ์พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลซึ่งเพิ่งถูกฝังโดยฝ่ายกัมพูชา และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอื่นๆ เพื่อต้องการให้ประชาคมโลกได้เห็นความจริงด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ พร้อมย้ำข้อมูลและเหตุผลเกี่ยวกับการดำเนินการของไทยที่ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาจงใจละเมิดอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ซึ่งประเทศต่างๆ ร่วมกันจัดทำขึ้นในปี 2540 (ค.ศ.1997) หลังมีการต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างกว้างขวาง ถือเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยด้วย

จุดแรกได้พาคณะเดินทางไปยังโรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ เพื่อรับฟังบรรยายสรุปจากกองทัพบก กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย โดยนายมาริษ กล่าวว่า จากภาพถ่ายและหลักฐานเชิงประจักษ์ที่กองทัพได้บรรยายนั้น สรุปได้ชัดเจนว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา สร้างผลกระทบต่อประเทศไทยและทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสจนทุพพลภาพ พิการ 5 ราย เป็นทุ่นระเบิดใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าที่ตกค้างตามที่กล่าวอ้าง เพราะมีการพัฒนาขึ้นมาใหม่ และประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังอาวุธไปหมดแล้ว

ขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาแสดงความจริงใจ และร่วมมือกับประเทศไทยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ตามที่ไทยได้เสนอในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา และหลังจากนี้เป็นต้นไป ขอให้ประชาคมโลก โดยเฉพาะประเทศรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาที่เป็นผู้บริจาคในการช่วยเหลือเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา ร่วมกันประณามการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล พร้อมเรียกร้องให้กัมพูชาให้ความร่วมมือกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติของไทย (Thailand Mine Action Center) หรือ TMAC ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดแบบ 2 ฝ่าย ระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งทุ่นระเบิดเก่าและใหม่ด้วย เพราะทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เป็นอาวุธที่ทำร้ายมนุษย์ อย่างไม่เลือกเป้าหมายว่าจะเป็นทหาร หรือพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งถือเป็นความรุนแรงที่ไร้มนุษยธรรม

แม้สถานการณ์ชายแดนมีการหยุดยิงตามข้อตกลงในการประชุม GBC ไทย-กัมพูชา แต่ยังคงมีการโจมตีด้วยสงครามข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนมากขึ้นเป็นประจำทุกวัน จึงขอมิตรประเทศช่วยผลักดันไม่ให้กัมพูชา เผยแพร่ข้อมูลเท็จ เพื่อให้บรรยากาศการเจรจาสร้างสันติภาพได้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ของประชาชนบริเวณชายแดน

ทั้งนี้ ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation: MLC) ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ที่เมืองอันหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้เชิญตนเอง และนายปรัก สุคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ประชุมร่วม 3 ฝ่าย ซึ่งตนเองได้หยิบยกผลกระทบของทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบ และทหารไทยได้รับบาดเจ็บ ซึ่งประเทศจีนเห็นด้วย และในช่วงที่หารือทวิภาคีกับผู้แทนประเทศต่าง ๆ และทุกประเทศเห็นด้วย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะกัมพูชาไม่ตั้งใจที่จะเก็บกู้ ซึ่งได้ชี้แจงให้ทุกประเทศรับทราบว่า แม้ฝ่ายกัมพูชาจะไม่พร้อมแต่ประเทศไทยจะไม่รอแล้ว และสิ่งที่กัมพูชาพยายามจะอ้างว่าเป็นระเบิดเก่า ได้ยืนยันทุกโอกาส และทุกมิตรประเทศว่า ไม่ว่าจะเป็นระเบิดเก่าหรือระเบิดใหม่ไม่ได้สนใจ เพราะมีเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบ หลายคนต้องทุกข์ทรมานมาถึง 30 ปี และยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย ได้เรียกร้องให้มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ไม่ว่าจะเป็นระเบิดเก่า หรือใหม่ เพื่อรักษาข้อตกลงตามอนุสัญญาออตตาวา และกฎหมายระหว่างประเทศ ต้องขอขอบคุณกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ โดยเฉพาะกองทัพบก และกองทัพอากาศ ที่สนับสนุนการชี้แจงต่อคณะทูตานุทูต พร้อมยกย่องทหารกล้าที่ได้สละเวลา และยินดีมาร่วมชี้แจงต่อคณะทูตานุทูตในครั้งนี้ ขณะเดียวกัน ยังมีชาวบ้านชาวภูมิซรอล 5 คน ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในอดีต จนต้องใส่ขาเทียมมาเข้าพบนายมาริษ และคณะทูตานุทูต เพื่อชี้แจงผลกระทบ และความร้ายแรงของทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ชาวบ้านต้องได้รับความทุกข์ทรมาน และยังคงเป็นบาดแผลทางจิตใจมากว่า 30 ปี ซึ่งนายมาริษ ย้ำว่า รัฐบาลจะพยายามเรียกร้องให้กัมพูชา กลับมาร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลกับประเทศไทยเหมือนในอดีต แต่หากฝ่ายกัมพูชายังไม่ให้ความร่วมมือฝ่ายไทยก็จะดำเนินการเอง

ทั้งนี้ ช่วงเช้าคณะทูตานุทูตได้ลงพื้นที่ที่โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ รับฟังการบรรยายสรุปจากกองทัพบก กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทยก่อน พร้อมรับชมวีดิทัศน์ชุด “เสียงระเบิด ที่โลกไม่ได้ยิน แต่ชาวศรีสะเกษไม่มีวันลืม” ที่เล่าเรื่องตั้งแต่วันเริ่มต้นของความสูญเสีย ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 หลังเกิดเสียงระเบิดที่ดังขึ้นในยามเช้าไร้การเตือนล่วงหน้า และเป็นจุดเริ่มต้นของสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา กระทบต่อประชาชนชาวศรีสะเกษกว่า 260,000 ครัวเรือน รวมกว่า 780,000 คน นอกจากนี้ ยังมีกระสุนปืนใหญ่ หรือจรวด BM-21 จากฝั่งกัมพูชา ตกลงที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท.บ้านผือ เกิดไฟลุกไหม้รุนแรง คร่าชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์ 8 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ มีทั้งเด็ก นักเรียน ผู้ปกครอง และพนักงานร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งยังมีพลเรือนผู้บริสุทธิ์ บาดเจ็บอีก 19 ราย ทั้งชาย หญิง ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก และยังมีบ้านเรือนประชาชนพังเสียหายจากกระสุนอีกจำนวนมาก โรงเรียนต้องหยุดสอน และศูนย์บริการสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ยังได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด ต้องอพยพผู้ป่วยกว่า 100,000 คน รวมทั้งสัตว์เลี้ยงของประชาชน ต้องล้มตายกลางทุ่งนา ทั้งยังพบจรวด BM-21 และกระสุนปืนใหญ่ รวม 58 นัด กระจายครอบคลุม 45 พื้นที่ ซึ่งตรวจสอบแล้ว 35 จุด ยังเหลืออีก 10 จุดที่ยังไม่ปลอดภัย และอีก 2 จุดรอการเก็บกู้ทำลาย

หลังจากการรับฟังบรรยายสรุป คณะได้ลงพื้นที่สังเกตการณ์ภารกิจเกี่ยวกับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในสถานที่จริงของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม และหน่วยทหารในพื้นที่ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้เห็นหลักฐานการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของฝ่ายกัมพูชาในดินแดนไทย คณะฯ ได้รับทราบข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมเห็นถึงหลักฐานเชิงประจักษ์ ได้แก่ทุ่นระเบิดที่ถูกลอบวางใหม่ที่ในพื้นที่ ซึ่งทำให้ทหารไทยบาดเจ็บและทุพพลภาพ รวมถึงส่งผลกระทบต่อประชาชนและสังคมในระยะยาว

จากนั้นคณะได้เดินทางไปสังเกตการณ์บ้านเรือนประชาชนในอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง พร้อมทั้งได้รับทราบการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ
ทั้งจากทางราชการและภาคส่วนต่างๆ

นอกจากนี้ไทยยังมีความพยายามในการเจรจาเพื่อหาทางแก้ปัญหาร่วมกันของไทย-กัมพูชาต่อเนื่อง โดยพลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ รองโฆษกกองทัพเรือ  เปิดเผยว่า พลเรือโท อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด และพลตรี อุย เฮียง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 3 ของกองทัพบก กัมพูชา  ตลอดจนคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคของทั้งสองฝ่ายได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดน ส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ (Regional Border Committee : RBC) วันที่ 16 สิงหาคม 2568 ณ บ้านทะเลภูรีสอร์ท อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด เพื่อร่วมกันหารือในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อความสงบเรียบร้อยในพื้นที่และการดำเนินชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศด้วยสันติวิธี และได้ลงนามใน “บันทึกความตกลงการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) สมัยวิสามัญระหว่างกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ราชอาณาจักรไทย กับภูมิภาคที่ 3 ราชอาณาจักรกัมพูชา”

การประชุมในครั้งนี้เป็นไปตามกรอบ GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เน้นย้ำประเทศไทยมุ่งไปสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ตามกติกาสากล โดยฝ่ายไทยได้มีการเพิ่มข้อเสนอเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้รับความร่วมมือใดๆ จากทางกัมพูชาเท่าที่ควร และจากผลการประชุมครั้งนี้ก็ยังไม่ได้การตอบรับใดๆ จากฝ่ายกัมพูชา โดยยังหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะแสดงความจริงใจในการสนับสนุนภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ยังคงตกค้างอยู่ตลอดแนวชายแดนและการปราบปรามสแกมเมอร์ในการประชุมครั้งต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง