ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ เป็นผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังเกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดนระหว่างไทย–กัมพูชาว่า ในช่วง 1-2 วันแรกที่มีเหตุปะทะกัน มีคนไทยที่ทำงานอยู่ปอยเปต ประเทศกัมพูชาจำนวน 1,000 คน เดินทางกลับเข้าประเทศไทย เนื่องจากกลัวถูกคนกัมพูชาทำร้ายคน ส่วนวันที่ 2 ได้มีการประสานเจ้าหน้าที่ด่านทางชายแดนว่าจะขอกลับมาอีก 2,000 คน แต่เมื่อมีการเจรจาหยุดยิงคนไทยหลายคนก็เปลี่ยนใจกลับไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีก
ทั้งนี้ ช่วงแรกที่มีเหตุปะทะมีการแจ้งความ ผ่านไทยโพลิสออนไลน์ลดลงเหลือ 800-900 เคส จาก 1,100 เคสไอดี แต่หลังจากเจรจาหยุดยิงก็กลับมาเพิ่มขึ้น ประมาณวันละ 1,000 เคสไอดี อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนก็ยังปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ จนตอนนี้ทราบว่าหัวหน้าที่เป็นคนจีนสั่งให้มีการทำโอทีเพิ่ม
ส่วนประเด็นที่กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ย้ายฐานปฏิบัติการลึกเข้าไปในปอยเปต ทางการไทยก็ได้มีความพยายามที่จะยกระดับปฏิบัติการด้วยการใช้โลกล้อมแก๊งคอลเซ็นเตอร์คือ จะดึงความร่วมมือกับประเทศที่ตกเป็นเหยื่อ หรือประเทศที่เห็นว่าการกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายสากลอย่างร้ายแรง เข้ามาร่วมในปฏิบัติการนี้ ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและจเรตำรวจแห่งชาติ ได้มีการจัดตั้งวอร์รูมขึ้นมา โดยจะมีหน่วยงานด้านกฎหมายของต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ตกเป็นเหยื่อร่วมปฏิบัติการด้วย เพราะไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่บริเวณแนวชายแดน หรือลึกเข้าไปเราก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปกวาดล้างจับกุมได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่อธิปไตยประเทศเขา ดังนั้น จึงต้องเรียกร้องให้ทุกประเทศที่ตกเป็นเหยื่อร่วมมือกัน
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยังบอกด้วยว่า ที่ผ่านมามีนักวิเคราะห์จากประเทศสิงคโปร์เปิดเผยว่า การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นการปราบปลาซิวปลาสร้อย ไม่ถึงตัวหัวหน้าขบวนการ ซึ่งเราเคยส่งข้อมูลเปิดเป็นจุดที่ตั้งใหญ่ของแก็งคอลเซ็นเตอร์ต่างๆ ออกไป แต่จุดเหล่านั้นก็ไม่เคยถูกกวาดล้าง ซึ่งที่ผ่านมามีเพียงแค่การจับกุมบ้างเล็กน้อย จึงอยากขอความร่วมมืออย่างจริงจังและจริงใจจากทางประเทศกัมพูชาในการกวาดล้างด้วย