“คลัง” เดินหน้าใช้ “Negative Income Tax” คนไทยต้องยื่นภาษีทุกคน เริ่มปี 70 คัดกรองสวัสดิการแม่นยำ เป็นธรรม

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้พัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) เพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมดให้อยู่ในระบบเดียว แก้ปัญหาการกระจายตัวของข้อมูลสวัสดิการที่อยู่ในหลายหน่วยงาน เช่น ข้อมูลการเสียภาษีที่อยู่กับกรมสรรพากร หรือข้อมูลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อยู่อีกหน่วยหนึ่ง เป้าหมายเพื่อให้รัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณและสวัสดิการได้อย่างตรงจุดและเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังมีข้อมูลครอบคลุมแล้วกว่า 60.8 ล้านคน และ 600,000 กิจการ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้สนับสนุนนโยบาย Negative Income Tax หรือ “ภาษีเงินได้ติดลบ” ซึ่งตั้งเป้าเริ่มใช้ในปี 2570

Negative Income Tax คือ ระบบที่กำหนดให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แม้มีรายได้น้อยกว่าฐานที่ต้องเสียภาษี (150,000 บาทต่อปี) เพื่อให้รัฐใช้ข้อมูลรายได้จริงในการคัดกรองสิทธิ์สวัสดิการอย่างแม่นยำ ตรงเป้าหมาย หากรายได้สูงกว่าเกณฑ์จะต้องเสียภาษีตามปกติ แต่หากต่ำกว่าเกณฑ์จะไม่เสียภาษี และยังได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐแทน โดยกระทรวงการคลังเตรียมใช้ระบบนี้เป็นเครื่องมือปฏิรูประบบภาษีและสวัสดิการ ลดความซ้ำซ้อนของโครงการช่วยเหลือกว่า 20 รายการ เชื่อมฐานข้อมูลรายได้ประชาชนเข้าด้วยกัน ทั้งนี้การเชื่อมโยงข้อมูลยังครอบคลุมการทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อบูรณาการข้อมูลทางการเงินและข้อมูลด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นข้อมูลหลักในการจัดสวัสดิการอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุดขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้รัฐจัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงที่ไม่เคยอยู่ในระบบมาก่อน ทำให้รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องปรับขึ้นอัตราภาษี

โดยจุดเริ่มต้นของ Negative Income Tax เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากนักเศรษฐศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา ช่วงทศวรรษ 1960 เพื่อแก้ปัญหาสวัสดิการที่ซ้ำซ้อนและไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นระบบ Earned Income Tax Credit (EITC) หรือ เครดิตภาษีรายได้ที่ได้รับที่ช่วยให้คนทำงานและครอบครัวที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางได้รับการลดหย่อนภาษี และใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และสหราชอาณาจักร ซึ่งเมื่อมีการนำ Negative Income Tax มาใช้จะเกิดผลกระทบต่อประชาชนแตกต่างกันตามกลุ่มรายได้ แบ่งเป็น

กลุ่มที่เสียภาษีอยู่แล้ว: แทบไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่กระบวนการตรวจสอบรายได้จะเข้มงวดขึ้น

กลุ่มรายได้พอสมควรแต่ไม่เคยยื่นภาษี: จะถูกดึงเข้าสู่ระบบ อาจต้องเริ่มเสียภาษีหากรายได้เกินเกณฑ์ ถือเป็นผู้เสียประโยชน์

กลุ่มรายได้น้อยหรือตกหล่นจากสวัสดิการ: จะได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะเมื่อรายได้ถูกบันทึกในระบบ รัฐสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือได้ตรงกลุ่มมากขึ้น

ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ปี 2565 มีแรงงานในระบบ 19 ล้านคน แต่มีผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพียง 10.7 ล้านคน และมีผู้ที่อยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีเพียง
4.2 ล้านคนเท่านั้น ขณะเดียวกันมีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 13 ล้านคน ซึ่งบางส่วนมีรายได้เกินเกณฑ์แต่ยังคงรับสิทธิ์อยู่ ดังนั้น หากประเทศไทยมีการนำนโยบาย Negative Income Tax มาบังคับใช้จริงจะดึงคนอีกจำนวนมากเข้าสู่ระบบภาษีครั้งใหญ่

อย่างไรก็ตามยังมีคนไทยบางส่วนไม่รู้ว่าการยื่นแบบภาษี และเสียภาษีเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย อีกทั้งยังไม่รู้ว่าการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเสียภาษีเสมอไป หรือหากมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษี ซึ่งสัดส่วนผู้ไม่รู้กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย หรือมีสถานะทางการเงินที่ไม่ดี จึงมีความเป็นไปได้ว่าเมื่อมีการนำนโยบายนี้มาใช้จะเปลี่ยนโฉมระบบภาษีของไทยครั้งใหญ่ เพราะการกำหนดให้ทุกคนต้องยื่นแบบภาษี ไม่เพียงแต่ทำให้รัฐมีข้อมูลรายได้ของประชาชนครบถ้วนเป็นครั้งแรก แต่ยังเป็นการขยายฐานผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติ

นอกจาก Data Lake จะทำให้การจัดสรรงบประมาณและสวัสดิการตรงจุด โปร่งใส และสะท้อนรายได้จริงของประชาชน ช่วยวางนโยบายการคลังเชิงรายภูมิภาคได้อย่างเหมาะสม ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความมั่นคงทางการเงินของคนไทยในทุกพื้นที่แล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล โดยเชื่อมโยงข้อมูลจาก 3 กรมจัดเก็บภาษี ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร เพื่อปิดช่องโหว่การหลบเลี่ยงภาษี เช่น กรณีผู้นำเข้าที่เสียภาษีในอัตราต่ำ แต่มีรายได้หรือกำไรสูงผิดปกติ ซึ่งจะถูกตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งสร้างระบบภาษีและสวัสดิการที่ทันสมัย โปร่งใส และเข้าถึงได้ เพื่อให้ทุกคนได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเท่าเทียม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง