ชุดข้อมูลการช่วยเหลือสถานการณ์ไทย-กัมพูชา
“รวมใจไทยหนึ่งเดียว”
ประจำวันที่ 21 สิงหาคม 2568
โดย กองส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ภาครัฐ กรมประชาสัมพันธ์
รัฐบาล รายงานความคืบหน้าการเยียวยาผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวสรุปการดำเนินงานของรัฐบาลและคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) ได้ชี้แจงถึงความคืบหน้าการดำเนินงานของรัฐบาลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน ครอบคลุมทุกมิติ รอบคอบ และเป็นไปตามกฎกติกาสากล รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตย ดูแลความมั่นคงและเยียวยากับผู้ได้รับผลกระทบทุกคน ในส่วนของการเยียวยาเจ้าหน้าที่รัฐและประชนได้รับผลกระทบ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้มีการเร่งจ่ายเงินเยียวยา แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกคน โดยมีประเด็นที่ดำเนินการแล้วเสร็จ 4 ประเด็น ดังนี้
- การปกป้องอธิปไตยของประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีการเคลื่อนไหวเชิงรุกบนเวทีระหว่างประเทศ รวมถึงชี้แจงต่อองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันกระทรวงกลาโหมและกองทัพไทยได้วางกำลังรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งควบคุมจุดผ่านแดนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
- การดูแลความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชน
กระทรวงมหาดไทยได้เสริมกำลังและดูแล พื้นที่ส่วนหลัง จัดตั้งศูนย์พักพิงดูแลความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ขณะที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ทำงานร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง ตรวจสอบเส้นทาง ยุทธวิธี และจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น โดยกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ปรับรูปแบบการเรียนการสอน และจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับนักเรียนและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุข ได้ตั้งศูนย์ประสานงานบริการกลุ่มเปราะบาง พร้อมจัดหาอุปกรณ์จำเป็นแก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และ ผู้ป่วยติดเตีย
- การเยียวยาเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ได้รับผลกระทบ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เร่งจ่ายเงินสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบ ขณะที่ กระทรวงมหาดไทย ได้อนุมัติเงินทดรองราชการ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ รวมกว่า 145,000,000 บาท
- มาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์ ได้เพิ่มช่องทางการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
สำหรับประเด็นที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ รัฐบาลกำลังดำเนินคดีตามกฎหมายระหว่างประเทศต่อผู้ที่กระทำผิด พร้อมกับเร่งเก็บกู้วัตถุระเบิด รวมถึงตรวจสอบการใช้โดรนที่ผิดปกติและกำหนดพื้นที่ปลอดภัย เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายประชาชน ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกัน ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ มีรายงานสถานการณ์ล่าสุดจากกระทรวงมหาดไทย ว่าตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา มีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วกว่า 7 จังหวัด 45 อำเภอ 336 ตำบล 4,081 หมู่บ้าน รวม 262,551 ครัวเรือน ประมาณ 779,000 คน โดยบ้านเรือนได้รับความเสียหาย 705 หลัง ซ่อมแซมแล้วเสร็จ 331 หลัง หรือคิดเป็น 46.95%
ด้านงบประมาณเพื่อการช่วยเหลือฉุกเฉิน รัฐบาลได้อนุมัติใช้จ่ายเงินทดรองราชการ ไว้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดรวมกว่า 201 ล้านบาท ครอบคลุมค่าอาหาร ค่าที่พักพิง ค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ค่ารักษาพยาบาลและการจัดการศพ โดยจังหวัดที่ได้รับการจัดสรรงบมากที่สุด ได้แก่ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และสุรินทร์
ส่วนการเยียวยาผู้ประสบภัย มีการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาแล้ว รวม 17,675,559 บาท
นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนสิ่งของบรรเทาทุกข์ กว่า 2 ล้านหน่วย ทั้งอาหารกล่อง น้ำดื่ม ถุงยังชีพ และเครื่องนุ่งห่ม พร้อมส่ง เครื่องจักรกลสาธารณภัย เช่น รถกู้ภัย รถผลิตน้ำดื่มและรถประกอบอาหาร ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
นางสาวศศิกานต์ ได้ย้ำว่า การทำงานของ ศบ.ทก. เป็นการบริหารงานสถานการณ์ที่เร่งด่วน แต่ภารกิจเพื่อดูแลประชาชน ในทุกๆ สถานการณ์ รวมถึงสถานการณ์ครั้งนี้ เป็นความรับผิดชอบหลักของแต่ละกระทรวง
ซึ่งรัฐบาลได้จัดให้มีการดำเนินการในทันที โดยประเด็นต่างๆ ของแต่ละกระทรวง ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไทยกัมพูชา จะถูกนำมาหารือในที่ประชุม ศบ.ทก. เพื่อบูรณาการการทำงานในภาพรวมต่อไป
“รัฐบาลยืนยันว่า ทุกหน่วยงาน ได้ร่วมมือกันทำงานอย่างเต็มกำลัง โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ การปกป้องอธิปไตยของประเทศ และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกคน แม้ว่าขณะนี้ จะมีขบวนการเฟคนิวส์ ที่คอยบิดเบือนข้อมูล ดิสเครดิตการทำงานของรัฐบาล ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาในทุกมิติ และจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยและประชาชนทุกคน จะก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง”