ประชุม RBC ไทย-กัมพูชา เห็นชอบเพิ่ม 3 ข้อเสนอไทย กำจัดทุ่นระเบิด อาชญากรรมข้ามชาติ และจัดตั้งชุดประสานงานในพื้นที่

พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 ร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ไทย–กัมพูชา สมัยวิสามัญ โดยมีผู้แทนฝ่ายไทยเข้าร่วม อาทิ นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา นำโดย พลโท แอก ซอมโอน ผู้บัญชาการทหารภูมิภาค 5 พร้อมผู้แทนระดับสูง รวม 30 คน

พลโท อมฤต นำแถลงสรุปผลการประชุม RBC ไทย – กัมพูชา ว่า ทั้ง 2 ฝ่าย สามารถตกลงกันได้ด้วยดี มีการตอบรับการขยายผลจากข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา ครั้งที่ผ่านมาที่ประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบเพิ่มเติม 3 ประเด็น จากที่ไทยเสนอ 4 ประเด็น คือ

1. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ดำเนินการร่วมมือกำจัดทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม โดยพิจารณาให้หารือร่วมกันในการประชุม GBC ครั้งต่อไป

2. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ร่วมมือประสานงานกันแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยให้ใช้เวทีมหาดไทยกัมพูชาหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย และเห็นควรให้เสนอหารือร่วมกันในการประชุม GBC ครั้งต่อไป

3. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีกลไกแก้ปัญหา ด้วยการจัดตั้งชุดประสานงาน Coordination Group (CG) และคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นกลไกรองรับคณะ RBC ในการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่

4. ในการแก้ไขปัญหาการละเมิด MOU43 ฝ่ายกัมพูชาขอให้ใช้กลไกอื่นในการหารือ เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของ RBC โดยฝ่ายไทยยืนยันเสนอให้ฝ่ายกัมพูชาได้รับทราบว่าพื้นที่ที่มีการละเมิดข้อตกลง เป็นพื้นที่ที่สำคัญและได้แจ้งเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหา โดยแม่ทัพภาคที่ 1 ได้ย้ำว่าฝ่ายกัมพูชา ขอใช้กลไกคณะกรรมาธิการ JBC ไทย – กัมพูชา ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจะต้องเสนอผ่านการประชุม GBC ครั้งต่อไป เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายตกลงเห็นชอบร่วมกัน

 นอกจากนี้กองบัญชาการกองทัพไทย โดยกรมข่าวทหาร ยังได้พาคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวประจำประเทศไทย (IOT Thailand) ลงพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยคณะ IOT Thailand ประกอบด้วย ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารจากประเทศสมาชิกอาเซียนประจำประเทศไทย นำโดย พลจัตวา ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารมาเลเซีย ประจำกรุงเทพฯ ลงพื้นที่รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนของจังหวัดสระแก้ว จากพล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 ณ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ เพื่อรับทราบข้อมูลด้านการปฏิบัติภารกิจของกองกำลังป้องกันชายแดนในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และรับทราบการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในช่วงที่ผ่านมา จากนั้นได้เดินทางไปยังบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เพื่อสังเกตการณ์การปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงในพื้นที่จริง พร้อมทั้งรับฟังข้อมูลผลกระทบโดยตรงจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อรวบรวมข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ นำเสนอต่อหน่วยเหนือของแต่ละประเทศอย่างตรงไปตรงมา

สำหรับประเด็นเรื่องพื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ที่กัมพูชากล่าวหาว่าไทยวางรั้วลวดหนามละเมิดอธิปไตยของกัมพูชานั้น นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า เดิมพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นพื้นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชาที่หนีภัยการสู้รบเข้ามาในประเทศไทย

เมื่อปี 2524 ซึ่งต่อมากัมพูชาได้มีการขยายพื้นที่ชุมชน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลง MOU 2543 ไทยได้คัดค้านและดำเนินการประท้วงการล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทยมาโดยตลอด ขณะที่กัมพูชาไม่ตอบสนองใด ๆ ส่วนการวางรั้วลวดหนามในเขตไทยเป็นไปเพื่อการปกป้องอธิปไตยของไทย คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนไทย ป้องกันฝ่ายกัมพูชาเข้ามาวางทุ่นระเบิด การดำเนินการดังกล่าวไม่ขัดต่อข้อตกลงที่เกิดขึ้นในการประชุม GBC ครั้งที่ผ่านมาที่ประเทศมาเลเซีย โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะละเว้นการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร หรือการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งทางทหารที่ล้ำออกมานอกเขตของฝ่ายตน

ด้านนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กล่าวว่า บ้านหนองจาน เป็นพื้นที่ที่ชาวกัมพูชาสร้างบ้านในพื้นที่ของไทย โดยบ้านหนองจาน ตั้งอยู่ระหว่างหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 ซึ่งเป็น
แนวเขตที่เป็นไปตามข้อตกลงสยามฝรั่งเศส ปี 1947 (พ.ศ. 2490) โดยเมื่อปี 2524 ประเทศไทยได้ให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees: UNHCR) จัดตั้งศูนย์อพยพชั่วคราวขึ้น เพื่อเหตุผลทางมนุษยธรรมให้กับชาวกัมพูชาที่หนีภัยสงครามกลางเมือง ทั้งนี้ เป็นไปตามที่ UNHCR ร้องขอ ทหารไทยได้จัดทำแนวรั้วเพื่อจัดทำเขตดังกล่าว เมื่อสงครามยุติลงแล้วในช่วงปี 2542
ชาวกัมพูชากลุ่มที่หนีภัยสงครามมา ยังได้เข้ามาก่อสร้างที่อยู่อาศัยขยายที่ดินทำกินจนออกมานอกแนวรั้วอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

ที่ผ่านมาไทยได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาปักปันเขตแดนของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้มีการหารือปัญหารวม 4 ครั้ง ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ดูแลไม่ให้ราษฎรชาวกัมพูชาขยายพื้นที่ทำกิน มีการหารือเจรจาร่วมกับฝั่งกัมพูชาอย่างสันติ รวมทั้งเร่งรัดการสำรวจและทำหลักเขตแดน ต่อมาเมื่อวันที่ 28-30 สิงหาคม 2545 กระทรวงการต่างประเทศและกรมแผนที่ทหารได้หารือร่วมกับประธาน JBC ของกัมพูชาในขณะนั้น โดยไทยได้ขอให้ฝ่ายกัมพูชาย้ายออกไป แต่ฝ่ายกัมพูชาแจ้งว่าจะต้องขอตรวจสอบแนวที่แน่ชัดของหลักเขตที่ 46 และ 47 ก่อน

เมื่อเดือนกันยายน 2560 กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือประท้วงฝ่ายกัมพูชา กรณีการขยายตัวของชุมชนบ้านหนองจาน มีการชักธงชาติกัมพูชาและจัดตั้งหน่วยงานทางการกัมพูชาในพื้นที่ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยไทยและละเมิดข้อ 5 ของ MOU 43 จึงขอให้ปลดธงชาติและย้ายชุมชนออกจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งฝ่ายกัมพูชาไม่ได้มีหนังสือตอบกลับหรือโต้แย้งแต่อย่างใด จึงสรุปได้ว่าพื้นที่บ้านหนองจานเป็นพื้นที่ของไทย โดยไทยอนุญาตให้ชาวกัมพูชาที่หนีภัยสงครามช่วงเขมรแดงมาอาศัยอยู่เป็นการชั่วคราว ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม การที่ชุมชนขยายตัวที่เพิ่มขึ้นไทยไม่ได้ยอมรับและไม่กระทบกับการปักปันเขตแดนที่ยังดำเนินอยู่ระหว่างไทยกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และที่ผ่านมาไม่ได้เป็นประเด็นสังคมวงกว้าง เนื่องจากฝ่ายไทยรับทราบมาตลอดว่าให้ชาวกัมพูชาที่หนีภัยเข้ามาอาศัยอยู่ชั่วคราว แต่เมื่อชาวกัมพูชาปัจจุบันมากล่าวอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ฝ่ายไทยต้องประท้วงและชี้แจงข้อเท็จจริง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง