บอร์ด กพช. เคาะมาตรการสำคัญด้านพลังงาน ครอบคลุมพลังงานสะอาด ลดค่าไฟบ้านอยู่อาศัย กำหนดราคาขายไฟเพื่อนบ้าน

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 2/2568 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม

นายภูมิธรรม กล่าวว่า การประชุม กพช. ครั้งนี้มีวาระสำคัญที่จำเป็นต้องรับทราบและพิจารณา โดยเฉพาะเรื่องของการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรมตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสำหรับปี 2566-2573 ที่จะต้องพิจารณาเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการให้มีความเหมาะสมต่อทุกภาคส่วน รวมทั้งพิจารณาถึงการขยายอายุการเดินเครื่องและการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงานในช่วงรอยต่อของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) ที่อยู่ระหว่างการจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ ขอให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้

1. พิจารณาแนวทางการดำเนินการตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 เรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรมตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2566-2573 (การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมฯ) โดยมีมติ ดังนี้

   (1) โครงการพลังงานลม เนื่องจากการอ้างอิงราคาที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการมีราคาที่สูงกว่าอัตรา FIT (อัตราภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแหล่งพลังงานหมุนเวียน)  สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมฯ จึงให้ดำเนินการในขั้นตอนของการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าต่อไป และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาปรับกรอบเวลาในการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและขยายกำหนด   วันจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ไม่เกินปี 2573 (วัน SCOD คือ กําหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า)

  (2) โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ดำเนินการเจรจาอัตราค่าไฟฟ้ากับผู้ประกอบการเอกชนที่ กกพ. ประกาศรายชื่อ และให้ กฟผ. พิจารณาเสนออัตราค่าไฟฟ้าสำหรับใช้เจรจาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์

2. เห็นชอบการขยายอายุการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมน้ำพอง ชุดที่ 1 และ 2 ออกไปอีก 6 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2574 เพื่อให้สอดคล้องกับอายุสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ และรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ การขยายอายุการเดินเครื่องครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสุทธิได้ประมาณ 28,358 ล้านบาทตลอดระยะเวลา 6 ปี อีกทั้งยังเป็นการใช้ทรัพยากรภายในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ สนพ. นำเรื่องดังกล่าวบรรจุในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่ตามขั้นตอนต่อไป

3. เห็นชอบแนวทางบริหารจัดการโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เพื่อทดแทนโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทนเครื่องที่ 8–9 โดยกำหนดให้

   (1) เลื่อนแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 8 และ 11 จากวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ไปเป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2574 หรือจนกว่าการปรับปรุงเครื่องที่ 12 และ 13 จะแล้วเสร็จ (ประมาณปี 2574)

   (2) ดำเนินการปรับปรุงโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 12 และ 13 พร้อมเลื่อนแผนการปลดออกไปจนถึงปี 2591 โดยจะหยุดเดินเครื่องชั่วคราว (ไม่จ่ายไฟเข้าระบบ) ระหว่างการปรับปรุงในช่วงปี 2569–2574 แนวทางนี้จะช่วยลดการลงทุน ใช้ทรัพยากรภายในประเทศอย่างคุ้มค่า ลดการนำเข้า Spot LNG (การซื้อ-ขาย LNG ตลาดจร ที่มีการส่งมอบเป็นรายเที่ยวเรือ โดยราคาซื้อขายจะอ้างอิงราคา LNG ในตลาดตามช่วงเวลานั้น ๆ) และลดผลกระทบค่าไฟฟ้าต่อประชาชน โดยคาดว่าจะสามารถลดค่า Ft (ค่าไฟฟ้าผันแปร) ได้ประมาณ 3.67 สตางค์ต่อหน่วย หรือคิดเป็นมูลค่าลดลงราว 9,566 ล้านบาทต่อปี โดยมอบหมายให้ กฟผ. เสนอเรื่องขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 เกี่ยวกับโครงการโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทนเครื่องที่ 8–9 พร้อมทั้งมอบหมายให้ สนพ. บรรจุแนวทางดังกล่าวไว้ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ต่อไป

4. เห็นชอบแนวทางการลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยแบบอัตราปกติ โดยให้ชำระค่าไฟฟ้าไม่เกินอัตราค่าไฟฟ้าที่ กกพ. ประกาศ เรียกเก็บตามรอบ Ft ในแต่ละรอบ โดยเริ่มตั้งแต่งวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งในงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2568 อยู่ที่หน่วยละ 3.94 บาท ทั้งนี้ มอบหมาย สนพ. และ กกพ. พิจารณาทบทวนการกำหนดช่วงการใช้ไฟฟ้าที่จะได้รับสิทธิส่วนลดให้ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ของผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย เพื่อคงวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพและลดภาระการอุดหนุนเกินจำเป็น ทั้งนี้ ให้ สนพ. และ กกพ. พิจารณาปริมาณหน่วยการใช้ไฟฟ้าขั้นสูงสำหรับบ้านพักอาศัยที่ควรต้องชำระค่าไฟฟ้าสูงกว่าอัตราที่ กกพ. ประกาศในแต่ละรอบตั้งแต่ 400 หน่วยต่อเดือนขึ้นไป ว่าควรมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าขั้นสูงไม่เกินเดือนละกี่หน่วย และปริมาณการใช้ไฟฟ้าส่วนที่เกินปริมาณหน่วยขั้นสูงนั้นจะคิดอัตราค่าใช้ไฟฟ้าเท่าใด โดยให้นำผลการพิจารณาไปหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว โดยให้ กฟภ. และ กฟน. รับไปปฏิบัติโดยเคร่งครัดต่อไป

5. ที่ประชุมมีมติให้ กฟผ. และ กฟภ. กำหนดราคาจำหน่ายไฟฟ้าแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ตามมติ กพช. ปี 2558 อย่างเคร่งครัด และเห็นชอบแนวทางปรับปรุงราคาสำหรับสัญญาในอนาคต เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าของประเทศและเป็นธรรมต่อประชาชนในประเทศ โดยกำหนดชัดเจนว่าราคาจำหน่ายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านจะต้องไม่ต่ำกว่าราคาที่จำหน่ายให้ประชาชนภายในประเทศ ทั้งนี้ กพช. ยังได้มอบหมายให้ กฟผ. และ กฟภ. ร่วมกันศึกษาแนวทางการกำหนดราคาที่เหมาะสม และนำเสนอต่อ กพช. ต่อไป

6. ติดตามความคืบหน้าประเด็นการแยกศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator: SO) ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 กพช. เคยมีมติให้แยก SO ออกมาเป็นนิติบุคคลใหม่ที่เป็นอิสระจาก กฟผ. อย่างไรก็ตาม พบว่า SO ภายใต้ กฟผ. (Ring Fenced) เหมาะสมกับโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าของไทยในรูปแบบที่รัฐเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้ารายเดียวจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (Enhance Single Buyer : ESB) และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล อีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการระบบไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาความมั่นคง ที่ประชุมจึงมีมติยกเลิก
มติเดิมของ กพช. เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ให้แยก
SO เป็นนิติบุคคลออกจาก กฟผ.

รัฐบาลยืนยันว่า มาตรการพลังงานครั้งนี้จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน ลดต้นทุนเศรษฐกิจโดยรวม และสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศอย่างยั่งยืน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง