นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของ “บุหรี่ไฟฟ้า” เป็นปัญหาที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ผ่านมาตรการป้องกัน ปราบปราม และเพิ่มความเข้มข้นบังคับใช้กฎหมายเพื่อเข้าควบคุม ยับยั้งการลักลอบผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิด ด้วยการบูรณาการประสานความร่วมมือของเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ และภาคีเครือข่าย ผลการดำเนินมาตรการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น ส่งผลให้ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึง 2 สิงหาคม 2568 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคดีบุหรี่ไฟฟ้าได้กว่า 3,200 คดี พร้อมทั้งยึด
ของกลางกว่า 4 ล้านชิ้น โดยมีมูลค่ารวมกว่า 580 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ายอดของปี 2566 และ 2567 โดยระดมกวาดล้างการขายบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งก่อนหน้านี้พบเห็นการขายหน้าร้านเป็นจำนวนมากทั่วประเทศ ขณะนี้ไม่พบอีกแล้ว แต่ผู้ขายใช้วิธีการขายหลังบ้านและในโซเชียลมีเดียซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เพื่อให้มาตรการป้องกันและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าครอบคลุมอย่างทั่วถึง รัฐบาล โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้บูรณาการความร่วมมือ ดำเนินการระงับและปิดกั้น URL (Uniform Resource Locator หรือที่อยู่เว็บไซต์) ที่กระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว กว่า 11,000 URL
รัฐบาลขอประชาชนตระหนักถึงว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพ นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าแม้จะเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน แต่การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพียงไม่นานก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันยังมีความเข้าใจผิดในสังคมว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่สินค้าอันตราย แต่ในความเป็นจริงบุหรี่ไฟฟ้า มีนิโคตินซึ่งมีฤทธิ์เสพติดสูง และยังมีสารพิษหลายชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรง โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต
และความพิการของประชาชนไทย โดยมีผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำมีความเสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นถึง 1.62 เท่า ส่วนผู้ที่ใช้เป็นครั้งคราวก็ยังเสี่ยงเพิ่มขึ้น 1.28 เท่า ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนชัดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัย แต่กลับเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อสุขภาพ โดยในประเทศไทยโรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของคนไทย และยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งข้อมูลจากระบบรายงานฐานข้อมูลสุขภาพ (HDC) กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุว่า มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 358,062 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึง 39,086 ราย
กรมควบคุมโรค ขอเตือนอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้า “ปลอดภัยกว่า” และขอรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่ยั่งยืนและปลอดภัย ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการเลิกสูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า สามารถเข้ารับบริการเพื่อช่วยเลิกบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าได้ที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข หรือโทรสายด่วนขอคำปรึกษาเพื่อการเลิกบุหรี่ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 1600 และหากพบเห็น
การจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า สามารถแจ้งเบาะแสเพื่อดำเนินคดีผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับ “บุหรี่ไฟฟ้า” เป็นสิ่งผิดกฎหมายและมีอันตรายต่อชีวิต การมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครองไม่ว่าจะไว้เพื่อเสพรวมถึงการนำเข้าหรือมีไว้เพื่อจำหน่าย ล้วนมีความผิดตามกฎหมายจะต้องถูกดำเนินคดีทั้งจำทั้งปรับ ดังนี้
- ผู้นำเข้ามีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร และประกาศกระทรวงพาณิชย์ โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 5 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ผู้ขาย – ผู้ให้บริการ มีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับ
ไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร มีโทษจำคุก
ไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ครอบครอง มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ