กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศ เมื่อเวลา 04.00 น. พายุโซนร้อนกำลังแรง “คาจิกิ” ได้ลดกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนแล้วบริเวณ แขวงบอลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงในระยะต่อไป ก่อนเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือ บริเวณจังหวัดน่านในช่วงเย็น วันที่ 26 สิงหาคม 2568 จากอิทธิพลดังกล่าว ทำให้บริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรง โดยเฉพาะบริเวณที่ใกล้กับเส้นทางเดินพายุ ได้แก่ จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม อุดรธานี หนองบัวลำภู เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ และลำปาง สำหรับภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากพายุ
ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ลมแรง และฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม
จังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักถึงหนักมาก มีดังนี้
วันที่ 26 สิงหาคม 2568
ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม
ชัยภูมิ ขอนแก่น และกาฬสินธุ์
ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี และกาญจนบุรี
ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
ภาคใต้:จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง พังงา และภูเก็ต
วันที่ 27 สิงหาคม 2568
ภาคเหนือ:จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง สุโขทัย และตาก
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ:จังหวัดเลย และหนองคาย
ภาคกลาง:จังหวัดอุทัยธานี กาญจนบุรี และราชบุรี
ภาคตะวันออก:จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด
ภาคใต้:จังหวัดระนอง และพังงา
ขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์ กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือโทร 0-2399-4012-13 และ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการแถลงข่าวเปิดศูนย์ติดตามและเฝ้าระวังพายุคาจิกิ ณ ศูนย์ปฏิบัติการพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา โดยมี ดร.สุกันยาณี ยะวิญชาญ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายประเสริฐ กล่าวว่า ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศและความเป็นอยู่ของประชาชน เพื่อเป็นการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดีอี จึงได้เปิดศูนย์ติดตามสถานการณ์พายุขึ้นเพื่อเฝ้าระวัง วิเคราะห์ และแจ้งเตือนสถานการณ์อย่างทันท่วงทีให้ทุกภาคส่วนสามารถเตรียมการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นย้ำว่าศูนย์ฯ จะปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และทันเวลาแก่ประชาชน จึงขอให้ประชาชนได้ติดตามข่าวสารจากทางช่องทางของกรมอุตุนิยมวิทยาและหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิดและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากพายุครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่ายเราจะสามารถผ่านพายุครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ใช้กลไกของศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ และลุ่มน้ำยม-น่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ในการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งด้านการติดตามข้อมูล การประเมินความเสี่ยง และการเตรียมแผนเชิงรุก โดยเน้นการเร่งพร่องน้ำในลำน้ำและอ่างเก็บน้ำที่ได้รับอิทธิพลจากพายุ “วิภา” ช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างพื้นที่รองรับน้ำเพิ่มเติม พร้อมทั้งกำกับดูแลให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างรอบคอบและสอดคล้องกับสถานการณ์จริง ช่วยป้องกันและลดผลกระทบต่อประชาชนอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ได้สั่งการให้มีการประเมินแนวโน้มสถานการณ์เปรียบเทียบกับอุทกภัยที่เคยเกิดขึ้นในแต่ละปี โดยเฉพาะอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 เพื่อเตรียมการรับมือได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ พบว่าสถานการณ์ในปีนี้มีความแตกต่างจากปี 2554 อย่างชัดเจน
ปี 2568 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุแล้ว 2 ลูกคือ พายุ “วิภา” และพายุ “คาจิกิ” โดยคาดว่ายังมีแนวโน้มเกิดพายุเพิ่มเติมได้อีกในช่วงเดือนกันยายน ส่งผลให้ปริมาณฝนโดยรวมเกินค่าเฉลี่ยปกติเล็กน้อย ในส่วนของเขื่อนขนาดใหญ่ ปัจจุบันยังมีความสามารถในการรองรับน้ำเพิ่มเติม โดยเขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำ ร้อยละ 68 ของความจุเก็บกัก ยังรองรับน้ำได้อีกกว่า 4,300 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำ ร้อยละ 82 ของความจุเก็บกัก รองรับได้อีกกว่า 1,700 ล้านลูกบาศก์เมตร ด้านเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดกลางถึงใหญ่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ยังมีพื้นที่ว่างรวมกว่า 1,200 ล้านลูกบาศก์เมตร พร้อมกันนี้ ได้คาดการณ์ล่วงหน้าในช่วง 7 วันนี้ ว่า จะมีปริมาณน้ำสูงสุดในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งวัดได้ 1,605 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และมีการระบายน้ำสูงสุดของเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 1,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งยังต่ำกว่าระดับที่ส่งผลกระทบในพื้นที่ลุ่มต่ำ นับว่าเป็นตัวเลขที่สะท้อนการร่วมมือกันดำเนินงานอย่างเต็มที่ของทุกหน่วยงานในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนนี้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและตระหนักถึงบทเรียนจากปี 2554 เป็นอย่างดี โดยจะยังคงเดินหน้าบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพ และขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าสถานการณ์ปีนี้จะไม่รุนแรงเหมือนเมื่อปี 2554 อย่างแน่นอน
ด้านนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ติดตามความพร้อมรับมือสถานการณ์พายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” กำชับจังหวัดติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนประชาชนโดยใช้กลไกพื้นที่ผ่านทุกช่องทางการสื่อสาร พร้อมบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมเครื่องจักรกลสาธารณภัยให้พร้อมปฏิบัติงาน โดยเน้นย้ำให้หน่วยงานทุกภาคส่วนดำเนินการตามแนวทาง ดังนี้
1. ให้ถือปฏิบัติและดำเนินการตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2568 อย่างเคร่งครัด ทั้งการจัดตั้ง War room ติดตามสถานการณ์ ตลอด 24 ชั่วโมง การดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุอุทกภัย การอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย การดูแลด้านการดำรงชีพ การตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของป้ายขนาดใหญ่ ตลอดจนการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล
2. การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย
(1) กำชับหน่วยงานในพื้นที่ ระดับอำเภอ ระดับท้องถิ่น และท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชุม ให้ติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศ สถานการณ์น้ำในพื้นที่ รวมทั้งข้อมูลข่าวสารการแจ้งเตือนภัยจากหน่วยงานภาครัฐตามช่องทางต่างๆ อย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนให้ประชาชนในระดับชุมชน หมู่บ้าน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษรับทราบสถานการณ์ แนวทางการปฏิบัติอย่างปลอดภัย และเตรียมความพร้อมหากจำเป็นต้องมีการอพยพออกจากพื้นที่
(2) หากได้รับข้อความแจ้งเตือนจากหน่วยงานด้านการพยากรณ์ให้ผู้อำนวยการแต่ละระดับแจ้งประชาชนทราบสถานการณ์ผ่านช่องทางการสื่อสารทุกช่องทาง และหากประเมินสถานการณ์ในพื้นที่พบว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายให้ผู้อำนวยการแต่ละระดับสั่งการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยโดยเร็ว โดยให้พิจารณาอพยพกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก
(3) จัดพื้นที่รองรับการอพยพ/ศูนย์พักพิงชั่วคราวที่มีมาตรฐานและเพียงพอ
3. การเผชิญเหตุ ให้ดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุที่ได้มีการซักซ้อมร่วมกันไว้แล้ว
(1) ให้เร่งระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วน จัดชุดปฏิบัติการเร่งเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยเร็ว โดยให้ความสำคัญกับการรักษาชีวิตของประชาชน และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเป็นลำดับแรก
(2) ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้น ดูแลด้านการดำรงชีพของผู้ประสบภัย จัดตั้งโรงครัวเพื่อประกอบอาหารช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้คุณภาพ การแจกถุงยังชีพ ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีการดูแลสุขภาพร่างกายและสภาพจิตใจของผู้ประสบภัย ตลอดจนดูแลด้านความสงบเรียบร้อย ป้องกันการเกิดอาชญากรรมลักขโมยทรัพย์สิน โดยเฉพาะบ้านเรือนประชาชนที่อพยพออกจากที่พักอาศัยประจำ
(3) กรณีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย ให้จัดทีมช่างในพื้นที่โดยบูรณาการทุกหน่วยงาน ทั้งหน่วยทหาร ตำรวจ หน่วยงานฝ่ายปกครองสถาบันการศึกษา ตลอดจนประชาชนจิตอาสา เร่งซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนโดยเร็ว
(4) กรณีเส้นทางคมนาคมได้รับความเสียหาย หรือถูกน้ำท่วมจนประชาชนไม่สามารถใช้ยานพาหนะสัญจรได้ ให้จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนำเส้นทางเลี่ยง รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการสัญจรของประชาชนให้ปลอดภัย
4. การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่
(1) กำชับหน่วยงานรับผิดชอบการบริหารจัดการน้ำให้ดำเนินการบริหารจัดการน้ำ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนให้มีน้อยที่สุด หากจำเป็นต้องทำการระบายน้ำหรือพร่องน้ำให้ดำเนินการอย่างปราณีต และแจ้งเตือนประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบล่วงหน้าเพื่อให้เตรียมความพร้อมเผชิญเหตุ ยกของขึ้นที่สูง หรืออพยพกลุ่มเปราะบางไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้ทันต่อสถานการณ์
(2) กำชับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลแหล่งกักเก็บน้ำ/กั้นน้ำ อาทิ อ่างเก็บน้ำ พนังกั้นน้ำ ทำนบ/คันกั้นน้ำชั่วคราว ฯลฯ ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงในเชิงโครงสร้าง หากพบความไม่ปลอดภัยให้เร่งปรับปรุง ซ่อมแซมให้เกิดความมั่นคงแข็งแรงโดยเร็ว
5. การสนับสนุนการปฏิบัติการ
(1) ให้ประสานหน่วยทหาร เตรียมความพร้อมทรัพยากร เครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ ยุทโธปกรณ์ และกำลังพล เพื่อให้สนับสนุนการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในทุกพื้นที่
(2) ให้ประสานหน่วยงานด้านคมนาคม เตรียมความพร้อมในการดูแลความปลอดภัย ทางคมนาคม จัดให้มีเส้นทางสำรอง เส้นทางเลี่ยงในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง และเตรียมความพร้อมสนับสนุนทรัพยากร เครื่องจักรกลสาธารณภัย อาทิ สะพานเบลีย์ อุปกรณ์และยานพาหนะต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อแก้ไขปัญหาเส้นทางคมนาคมที่ได้รับความเสียหาย
(3) ให้ประสานหน่วยงานด้านการประชาสัมพันธ์ ใช้ช่องทางการสื่อสารทุกช่องทางในการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนให้ทราบสถานการณ์ และช่องทางการขอรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงการตอบโต้ข่าวลือต่างๆ (Fake News) เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง
สำหรับพื้นที่ที่มีจุดที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษและเป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ขอให้ประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อวางแผนการบริหารจัดการน้ำไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนและตรวจสอบความสามารถในการระบายน้ำ พร้อมปรับแผนการระบายน้ำให้สอดคล้องกับระดับน้ำในเขื่อนและปริมาณฝนที่คาดว่าจะตกในพื้นที่ รวมถึงต้องประเมินพื้นที่เสี่ยงพร้อมวางแผนนำเครื่องจักรกลสาธารณภัยไปประจำจุดให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่ ซึ่งหากทุกอย่างมีการวางแผนล่วงหน้าและมีความพร้อมในการรับมือจะทำให้การแก้ไขปัญหาและการช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนรู้สึกอุ่นใจและมั่นใจในการทำงานของหน่วยงานราชการ นอกจากนี้ ให้จังหวัดเตรียมการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนที่จำเป็นต้องอพยพหากสถานการณ์รุนแรง และสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลสถานการณ์ภัยที่ถูกต้อง ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนทราบและไม่ตื่นตระหนก
ทางด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ติดตามสถานการณ์ พายุ “คาจิกิ” อย่างใกล้ชิด โดยนายเชษฐา โมสิกรัตน์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยติดตามสถานการณ์การเคลื่อนตัวของพายุ “คาจิกิ” ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง พร้อมประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคาดการณ์พื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบ เพื่อแจ้งเตือนภัยให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมทั้งร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งข้อความแจ้งเตือนผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast) และข้อความสั้น (SMS) ประชาชนได้รับข้อความข่าวสารการแจ้งเตือนอย่างรวดเร็ว
การแจ้งเตือนพายุ “คาจิกิ” ที่ ปภ. ได้ส่งให้ประชาชนเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2568 เป็นการแจ้งเตือนในรูปแบบของ Information Alert หรือการแจ้งเตือนเพื่อให้ข้อมูล ซึ่งเป็นลักษณะของการแจ้งข้อมูลให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงทราบสถานการณ์และเตรียมพร้อมรับมือ ซึ่งโทรศัพท์มือถือของประชาชนที่สามารถรับการแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast ได้นั้นจะต้องเป็นโทรศัพท์มือถือที่ใช้เทคโนโลยี 4G และ 5G และมีการอัปเดตระบบปฏิบัติการให้เป็นเวอร์ชันที่รองรับการแจ้งเตือน
สำหรับประชาชนที่ใช้โทรศัพท์มือถือเทคโนโลยี 2G และ 3G หรือไม่สามารถอัปเดตระบบปฏิบัติการได้ ปภ. จะส่งข้อความสั้น (SMS) แจ้งเตือนภัยให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทั้งในรูปแบบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ อาจมีประชาชนบางส่วนเกิดความกังวลใจและไม่มั่นใจว่าข้อความที่ได้รับเป็นข้อความจากมิจฉาชีพหรือไม่ ขอเน้นย้ำว่าข้อความ SMS แจ้งเตือน จะส่งในชื่อ DDPM ซึ่งเป็นชื่อย่อภาษาอังกฤษของ ปภ. เท่านั้น และจะไม่มีการแนบลิงก์ให้กดแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์พายุ “คาจิกิ” การปฏิบัติงาน และการให้ความช่วยเหลือประชาชนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ที่ Facebook กรมป้องกันและบรรเทาสาธารภัย DDPM และ X @DDPMNews และหากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ1784” โดยเพิ่มเพื่อนจาก Line ID @1784DDPM หรือสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานการให้ความช่วยเหลือต่อไป
นอกจากนี้ ปภ. ยังได้รายงานสถานการณ์อุทกภัย ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 23 สิงหาคม 2568 น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 4 อำเภอ ประกอบด้วย เสนา ผักไห่ บางบาล และบางไทร เบื้องต้นประชาชนได้รับผลกระทบ 3,744 ครัวเรือน 13,853 คน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผู้เสียชีวิต โดย ศูนย์ ปภ.เขต 1 ปทุมธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว ปัจจุบันระดับน้ำเพิ่มขึ้น