ปภ. พร้อมแจ้งเตือนและรับมือพายุลูกใหม่ “หนองฟ้า” กำชับจังหวัดเสี่ยงตรึงกำลังช่วยเหลือต่อเนื่อง

กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศว่า เมื่อเวลา 04.00 น. หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่อ่อนกำลังลงจากพายุดีเปรสชัน “หนองฟ้า”ได้เคลื่อนตามแนวร่องมรสุมเข้าปกคลุมบริเวณจังหวัดเลย และคาดว่าจะเคลื่อนปกคลุมภาคเหนือในวันที่ 31 สิงหาคม 2568  จากอิทธิพลดังกล่าวทำให้ในช่วงวันที่ 31 สิงหาคม – 1 กันยายน 2568 ประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม

จังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักถึงหนักมาก มีดังนี้ 

วันที่ 31 สิงหาคม 2568

ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดหนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย ชัยภูมิ และขอนแก่น

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ และกาญจนบุรี

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคใต้: จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่

วันที่ 1 กันยายน 2568

ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ ชัยภูมิ นครราชสีมา และอุบลราชธานี

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี และราชบุรี

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคใต้: จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่

ส่วนประชาชนบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตกตอนบน ระมัดระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ในช่วงวันที่ 31 ส.ค. – 2 ก.ย. 68

ขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์ กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือโทร 0-2399-4012-13 และ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

(30 ส.ค. 68) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้วางแผนรับมือ กระจายเครื่องจักรสาธารณภัยเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงพายุ “หนองฟ้า” รวมถึงเตรียมการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast ทันทีให้กับประชาชนพื้นที่เสี่ยงหากคาดว่าจะเกิดสถานการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ได้กำชับจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานการณ์ขอให้ตรึงกำลังปฏิบัติการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ได้แจ้ง 46 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง น้ำล้นตลิ่ง ดินโคลนถล่ม และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 30 สิงหาคม – 2 กันยายน 2568

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก) โดย ปภ. ได้ประสานแจ้งจังหวัดและศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัยให้เตรียมพร้อมรับมือกับปริมาณฝนที่ตกหนัก ซึ่งอาจทำให้เกิดอุทกภัยได้ โดยได้กำชับให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน และสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกหนักและพื้นที่ที่มีฝนตกติดต่อกันเป็นเวลานาน สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ โดยเฉพาะถ้ำน้ำตก ถ้ำลอด หากมีความเสี่ยงเกิดสถานการณ์ภัย ให้ประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้บุคคลใดเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด และจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าวตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ให้เตรียมความพร้อมของเครื่องจักรกลสาธารณภัยและเจ้าหน้าที่ชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต (ERT) ให้พร้อมเข้าเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีที่เกิดสถานการณ์ขึ้น และให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนติดตามข้อมูลสภาวะอากาศและข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบล่วงหน้าเพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องและปฏิบัติตนได้อย่างปลอดภัย

สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ขอให้ติดตามสภาพอากาศ ข้อมูลสถานการณ์ และข่าวสารจากทางราชการอย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้นโดยปฏิบัติตามคำแนะนำของทางราชการอย่างเคร่งครัด โดยสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยรายพื้นที่ได้ที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Android รวมถึงทางสื่อสังคมออนไลน์ บัญชีทางการของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย Facebook กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM และ X @DDPMNews ทั้งนี้ หากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย ประชาชนสามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM รวมถึงสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือต่อไป

ทางด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำยม – น่าน และการลดผลกระทบจากการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ และการเตรียมความพร้อมกรณีเปิดทางระบายน้ำล้นฉุกเฉิน โดย ดร.สุรสีห์ กล่าวว่า จากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ต่อเนื่องด้วย พายุ “คาจิกิ” ในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อพื้นที่ลุ่มน้ำยม – น่าน โดยเฉพาะลุ่มน้ำยมที่มีปริมาณน้ำจำนวนมาก นอกจากนี้ คาดว่าในเดือนกันยายนจะยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นต่อเนื่องจากร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และยังมีโอกาสที่จะเกิดพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยตอนบนได้ที่ประชุมจึงได้พิจารณาแนวทางเร่งระบายน้ำออกจากลุ่มน้ำยมภายใน 2 วันนี้ โดยกรมชลประทานจะเพิ่มการระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำคลองหกบาท จาก 300 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที เป็น 380 ลบ.ม.ต่อวินาที โดยปริมาณน้ำจะไหลผ่านไปทางแม่น้ำยมสายเก่าประมาณ 170 ลบ.ม. ต่อวินาที และคลองยม – น่าน 210 ลบ.ม. ต่อวินาที พร้อมทั้งได้เพิ่มการติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่บริเวณประตูระบายน้ำบางแก้ว เพื่อเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำยมสายเก่า โดยทั้งหมดจะไหลรวมลงสู่แม่น้ำน่านต่อไป

ขณะเดียวกัน ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำน่านก็เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำถึงร้อยละ 85 ของความจุเก็บกัก ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการปรับลดการระบายของเขื่อนลงเหลือไม่เกิน 40 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ท้ายน้ำ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องปรับการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ให้เพิ่มขึ้นอยู่ในอัตรา 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เตรียมรองรับน้ำที่จะไหลเข้ามาเพิ่ม

เพื่อป้องกันความเสี่ยงน้ำล้นและกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวเขื่อน เนื่องจากหากเกิดกรณีดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ทั้งนี้ ให้กรมชลประทานจัดการจราจรน้ำของเขื่อนผาจุก เขื่อนนเรศวร เขื่อนพญาแมน ประตูระบายน้ำมะขามสูง รวมถึงเขื่อนเจ้าพระยาให้สอดคล้องกัน เพื่อสนับสนุนประสิทธิภาพการระบายน้ำของพื้นที่ตอนบนให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งกำชับให้จังหวัดท้ายเขื่อนประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนและเตรียมพร้อมบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อย่างรัดกุม โดยทุกหน่วยงานพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการดำเนินการเชิงป้องกัน การช่วยเหลือขณะเกิดเหตุ และการเยียวยาผู้ประสบภัย และยืนยันว่าจะมีการปรับการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลามากที่สุด โดยคำนึงถึงปริมาณฝนและปริมาณน้ำที่ระบายมาจากลุ่มน้ำยม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ด้านท้ายน้ำ

จากนั้น ดร.สุรสีห์ ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและการเตรียมความพร้อมรับมือในจังหวัดสุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และพิจิตร ตามลำดับ 

ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน รายงานสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวม 52,541 ล้าน ลบ.ม. (คิดเป็น 69% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้อีก 23,964 ล้าน ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 18,337 ล้าน ลบ.ม. (74% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้อีก 6,534 ล้าน ลบ.ม. ประกอบกับระยะนี้มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำมากถึง 8,078 ล้าน ลบ.ม. (85% ของความจุอ่างฯ) จากการประชุมหารือร่วมกันกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เขื่อนสิริกิติ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ประชุมมีมติคงการระบายน้ำในเกณฑ์ 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน โดยจะคงการระบายดังกล่าวไปจนถึงวันที่ 10 กันยายน 2568 เพื่อพร่องน้ำและลดผลกระทบพื้นที่ด้านท้ายน้ำ

ขณะเดียวกัน กรมชลประทาน ได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำอย่างใกล้ชิดเพื่อรองรับฝนที่จะตกหนัก ดังนี้

– จัดเตรียมเครื่องจักรกลและเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่เสี่ยง ให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้ตลอดเวลา

– พร่องน้ำจากเขื่อนและอ่างเก็บน้ำล่วงหน้า เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำฝนที่จะตกลงมาอีก

– ตรวจสอบและซ่อมแซมอาคารชลประทาน คันกั้นน้ำ และประตูระบายน้ำ ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา

– กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ

สำหรับการบริหารจัดการน้ำจะบูรณาการเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ท้ายน้ำ ขณะเดียวกัน กรมชลประทานยังได้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่องผ่าน wmsc.rid.go.th  bigdata-swoc.rid.go.th และหากต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือ โทร. 1460 สายด่วนกรมชลประทาน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง